“ผมต้องทำให้สำเร็จ ปล่อยไว้ต่อไปเหยื่อจะมีเป็นร้อยเป็นพันแล้วไม่มีทางจะจับได้”

อดเครื่องแบบอำลาชีวิตราชการตามวัยเกษียณเมื่อสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา

พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทิ้งผลงานพิชิตคดีดังไว้นับไม่ถ้วน ถือเป็นอีกตำนานนักสืบคนสำคัญของวงการสีกากีที่มีแนวคิดและหลักการสืบสวนไม่แพ้ใคร

เขาเป็นลูกจ่าทหารอยู่ในค่ายลพบุรี ทว่าเติบโตท้องทุ่งลาดพร้าวเข้าโรงเรียนเซนต์จอห์นจนจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 หันหัวสู่รั้วโรงเรียนเตรียมทหารเลือกเหล่าตำรวจ ทั้งที่จริงอยากเป็นทหาร แต่รุ่นพี่บอกว่าเลือกตำรวจไว้ก่อนสามารถขยับไปได้ทุกเหล่า เพราะจะมีเพื่อนมาขอแลก

ถึงเวลาเพื่อนมาตามนัด แต่มากันหลายคน เขามีความรู้ว่า ให้ใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ เพราะเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น ไม่อยากเสียน้ำใจมิตรสหาย สุดท้ายเลยจำใจเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 28 บรรจุครั้งแรกลงเป็นรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลพญาไท ไม่กี่เดือนทำเรื่องเรียนต่อปริญญาโท สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า นาน 2 ปีกลับมาลงอยู่กำลังพล กองบังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ

หลังจากนั้นย่างสู่เส้นทางนักสืบที่กองกำกับการสืบสวนนครบาลพระนครเหนือ เรียนรู้งานจากนักสืบรุ่นพี่อย่าง ทวี ทิพย์รัตน์ คงเดช ชูศรี เคียงข้างเพื่อนร่วมรุ่น ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา กระทั่งขึ้นสารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลมีนบุรี โยกเป็นสารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลประชาชื่น สารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลสามเสน

พบจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อชุดเฉพาะกิจกองปราบปรามบุกจับบ่อนประตูน้ำ ส่งผลให้ 5 เสือโรงพักพญาไท ถูกย้ายระนาวกราวรูด เขาเลยดึงไปเป็นสารวัตรสืบสวนถิ่นเก่าที่เคยคลุกคลีสมัยเริ่มต้นชีวิตร้อยตำรวจตรี เปิดฉากคลายปมคดีสำคัญ เมื่อมีอดีตตำรวจกองปราบปรามหลอกหญิงสาวไปข่มขืนแล้วถ่ายรูปแบล็กเมล์เอาไว้ “ผมจำได้ว่า เข้าโรงพักตอนดึก เห็นผู้หญิงเก้ ๆ กัง ๆ เดินไปเดินมา ไม่แจ้งความเลยเข้าไปสอบถาม หญิงสาวกล้าๆ กลัว ๆ ก่อนเล่าว่า ถูกคนร้ายทำตัวเป็นพลเมืองดีมาช่วยตอนรถเสีย อ้างจะพาไปอู่ แต่กลับมาเหยื่อเข้าโรงแรมข่มขืนแล้วยังแบล็กเมล์เรียกเอาทรัพย์สินอีก” พล.ต.ต.โกสินทร์ย้อนแฟ้มคดี

เจ้าตัวลำดับเรื่องราวว่า การสืบสวนพบว่า คนร้ายวางแผนไว้อย่างดี ไปถอดปลั๊กที่หัวจานจ่ายทำให้รถผู้เสียหายสตาร์ตไม่ติด แล้วทำทีเข้ามาช่วย ก่อนจี้ข่มขืน เราใช้เวลาประมาณ 3 วันก็จับได้ แต่ไม่ได้แถลงข่าว สงสารผู้หญิง มีเหยื่อหลายรายโดนกระทำ ถือเป็นคดีที่สุดยอดคดีหนึ่งที่ดังมากในหมู่นักสืบ ผ่านมาไม่นานก็เจอคดีข่มขืนนักเรียนพยาบาลโรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้เสียหายไม่กล้าแจ้งความเพราะอับอาย เรารู้เพราะอาจารย์โทรศัพท์มาบอก

“ผมเข้าไปดูแล้วก็รู้สึกหดหู่ และฝังใจนับตั้งแต่นั้นมา มีความรู้สึกว่า เราต้องทำเต็มที่ ทำให้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นมันก็จะไปก่อเหตุที่อื่นอีก เหตุเพราะพวกผู้เสียหายไม่ค่อยแจ้งความอยู่แล้ว ถ้าเราได้มีโอกาสรู้รวมทั้งได้มีโอกาสที่จะทำ บางครั้งที่มีน้อยมาก ผมต้องทำให้สำเร็จ ปล่อยไว้ต่อไปเหยื่อจะมีเป็นร้อยเป็นพันแล้วไม่มีทางจะจับได้ ถ้ารู้ปุ๊บต้องเต็มที่ ระดมหมด” อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางระบายความในใจวัยหนุ่ม

เขาวางแผนจัดทีมสืบสวน นำโดย สำเริง สุวรรณพงษ์ วิชัย สังข์ประไพ ณษ เศวตเลข ที่เป็นรองสารวัตรผลัดกันคนละวันเพื่อเฝ้าจุดรอเวลาคนร้ายมาพบเหยื่อสาวที่มันข่มขู่เรียกเงินแบล็กเมล์ตามที่ให้ฝ่ายหญิงล่อนัดออกมาเจอ ก่อนปิดฉากด้วยการไล่ล่าจับตายคารางรถไฟหลังโรงพยาบาลรามาธิบดี ไม่ให้มันไปสร้างเวรสร้างกรรมทำร้ายเหยื่อผู้บริสุทธิ์ต่อไปอีก

ผ่านพ้นคดีสำคัญของทุ่งพญาไท พล.ต.ต.โกสินทร์ขยับขึ้นเป็นสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจนครบาลประชาชื่น สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์ คืนถิ่นเป็นรองผู้กำกับการสืบสวนนครบาลพระนครเหนือ เลื่อนเป็นผู้กำกับการสืบสวนนครบาลธนบุรี ผู้กำกับการสืบสวนนครบาล 7 รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 7 ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 7 ผู้บังคับการปราบปราม ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 ก่อนเข้าเป็นผู้บังคับการกองวิชาการ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ขึ้นเป็นจเรตำรวจ แล้วเด้งเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

นายพลนักสืบรุ่นเก่าบอกว่า ทำคดีมาเยอะ ภูมิใจในทุกคดีที่ทำ หากจับคนร้ายได้ ไม่คิดว่าคดีเล็กคดีน้อย ถ้ามันประสบความสำเร็จ เราก็คิดว่ามันมีความภาคภูมิใจ มีแนวทางที่ดีที่เราสามารถไปถ่ายทอดให้รุ่นน้องๆ ได้ ว่า วิธีการอย่างนี้ มีจุดอ่อน จุดแข็ง และเจอปัญหาอย่างไร วิธีการที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้บางครั้งรู้สึกว่ามันยากแล้วได้ จากที่คิดว่าไม่น่าได้ ก็บอกไม่ค่อยถูก บางทีมันก็เป็นไปตามดวงเหมือนกัน จะมาบอกว่าง่ายยาก มันพูดยาก แล้วแต่จังหวะจริงๆ เช่น มีเส้นทางว่าจะไป 3 จังหวัด แล้วกำลังเรามีให้ไปได้แค่จังหวัดเดียว แล้วเราก็เลือกถูก

          “ผมมีความเชื่อเกี่ยวกับคนตายนะ” พล.ต.ต.โกสินทร์ถ่ายทอดวิชา “เวลาไปดูที่เกิดเหตุฆ่ากัน ผมจะเอามือตบปากศพ เพราะคนโบราณจะพูดให้เอาใบบอนไปปิดปากให้ผีปากบอนมาบอก อันนี้ผมคิดเอง เอาคำโบราณมาใช้ แล้วก็ทุกคดี ที่มีคนตาย มีศพ ผมก็คิดว่าทำได้ แล้วมันก็ประสบความสำเร็จจริงทุกคดีก็จะทำแบบนี้มาตลอด อย่างที่บอก ถ้ามันไปทางนี้ แล้วเราก็มีลางสังหรณ์ว่า ต้องเดินทางนี้นะ เราก็ไปถูก อาศัยไสยศาสตร์เข้าช่วย”

ถึงกระนั้นก็ตาม เขาอธิบายว่า  แต่งานสืบสวนจริงๆ ต้องอาศัยประสบการณ์ ความคิดเป็นหลัก ไม่ว่าจะมีเทคโนโลยีทันสมัย แต่ความสำคัญอยู่ที่แนวทางความคิด ถ้าสามารถจำลองเหตุการณ์ จินตนาการได้ว่า เหตุการณ์เป็นอะไรก่อนหน้านี้ คนนี้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ต้องมีประสบการณ์พอสมควรในเรื่องความเป็นไปของแต่ละคน แต่ละอาชีพ แต่ละช่วงอายุแต่ละคน หรือของเหยื่อ เพื่อให้ไล่ได้ว่า ก่อนเกิดเหตุเหยื่อน่าจะทำอะไร แล้วคนร้ายมาทำอะไร เราถึงต้องมีความรู้เรื่องพฤติกรรมคนร้าย ของผู้เสียหายมาประกบกัน ถ้าเป็นคนร้ายจะมาทำอย่างนี้ แล้วเหยื่อจะทำอย่างนี้ถึงมาเจอกันได้อะไรทำนองนี้ต้องจินตนาการได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เราจินตนาการจะถูก แต่ต้องทำให้ได้ใกล้เคียง

อดีตนายพลมากประสบการณ์ยังเล่าถึงคดีดังระดับประเทศที่สามารถคลี่คลายได้เพราะมีอะไรหลายอย่างประกอบกันว่า ตอนนั้นขึ้นรองผู้บังคับการใหม่ ๆ มีคดีการหายตัวไปของเจนจิรา พลอยองุ่นศรี นักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นข่าวดังมาก แต่ไม่ได้อยู่ในเขตรับผิดชอบ ไม่คิดว่า วันหนึ่งได้ทำคดี เมื่อได้ข่าวจากคนที่ให้เสริม สาครราษฎร์ นักศึกษาแพทย์วชิรพยาบาลแฟนหนุ่มต้องสงสัยเช่าบ้านอยู่ย่านบางพลัดเป็นเขตนครบาล 7 พอดี

  พล.ต.ต.โกสินทร์ว่า เหมือนมีอะไรดลใจ วันนั้นหยุดเสาร์อาทิตย์เลยไปหาข่าวที่บ้านหลังนั้น ทั้งที่สืบสวนนครบาล 1 เคยเข้าแล้ว เราเจอคนใช้เลยชวนคุยไปเรื่อยได้ความว่า พบพิรุธของเสริมเอารถมาล้าง ปกติไม่เคยล้าง พอจะช่วยก็ไม่ยอม และยังพบว่า ผ้าปูที่นอนหายไปผืนหนึ่งเลยปะติดปะต่อ คิดว่า ผ้าปูที่นอนห่อศพพอดีตัวได้ไหม เรื่องรถมาล้างก็น่าจะเป็นเรื่องของเลือดที่มีพยานหลักฐานอยู่หรือเปล่า ในที่สุดตัดสินใจติดตาม เรียกหาญพล นิตย์วิบูลย์ ที่ขึ้นเป็นผู้กำกับสืบสวนนครบาล 7 และรณศิลป์ ภู่สาระ เป็นรองผู้กำกับมาคุย ตกลงรับงานเชิญตัวเสริม สาครราษฎร์มาสอบอีกรอบ

“เอาตัวขึ้นรถตู้มาไม่ทันไร มันก็รับสารภาพหมดเลย พาไปชี้จุดทิ้งรถแฟนสาวที่เมืองทองธานีฝุ่นเกาะกลายเป็นจุดเริ่มต้นเปิดเกมนำไปสู่จุดทิ้งกะโหลกแม่น้ำบางปะกง ถือว่าเป็นเคสที่ประทับใจนะ เพราะมันเหมือนมีอะไรดลใจ ถ้าสร้างหนัง เป็นหนังผีเลย แม้กระทั่งกะโหลกลอยน้ำไม่น่าเชื่อนะว่าจะเจอ มันเป็นเรื่องจิตวิญญาณแท้ๆ เวลาผมไปบรรยายให้นักสืบฟัง ขนลุกเลยนะ” อดีตหัวหน้าทีมนักสืบเปิดเกมปิดแฟ้มคดีอำมหิตนักศึกษาแพทย์ระบุ

 “ตอนไปชี้แม่น้ำบางปะกง น้ำเชี่ยวมากเลย ไม่น่าจะมีทางเจอเลย ทีมประดาน้ำดำเจอซากปูนต้องยกเลิกค้นหา ปรากฏว่า กะโหลกลอยไปค้างคานสะพานก่อนหน้าเดือนกว่าแล้ว มีชาวบ้านไปตกเบ็ดเจอรีบแจ้งตำรวจแสนภูดาษ บังเอิญเจอตำรวจมีอุดมการณ์รับทำคดีส่งกะโหลกไปสถาบันนิติเวชวิทยา หลังกลายเป็นข่าวดังในทีวีที่เสริมชี้จุดทิ้งกะโหลก แพทย์ผ่าชันสูตรเลยประสานมาที่ผมขอประวัติฟันและรูปถ่ายมาเปรียบเทียบตรงเป๊ะ แถมเจอรอยกระสุนที่กะโหลกมันพฤติกรรมโหดเหี้ยมของเสริมอีก เพราะตอนแรกอ้างบีบคอแฟนสาว ตอนหลังถึงรับว่าล็อกคอจ่อยิงก่อนนำร่างไปชำแหละ”

เรื่องราวเร้นรับในคดียังไม่จบแค่นั้น นายพลวัยเกษียณบอกว่า ก่อนวันให้การคดีปากสุดท้ายของการสืบพยานโจทก์ ปรากฏว่า เจ้าของบ้านที่เราไปครั้งแรกได้ยินเสียงคล้ายหนูเดินบนฝ้าเพดานห้องน้ำจึงไปตามช่างมาดูแทบผงะเจองูเหลือมตัวเบิ้มอยู่ข้างบน ที่สำคัญเจอถุงกระดาษใส่หลักฐานของคดีไว้เพียบ มีปอยผมของเหยื่อด้วยเลยรีบติดต่ออัยการนำเข้าสำนวนขึ้นศาลมัดตัวผู้ต้องหาที่เปลี่ยนใจปฏิเสธชั้นศาลกลับมายอมรับสารภาพในท้ายสุด

   แต่ถึงจะเป็นสุดยอดนักสืบเพียงใดก็ไม่วายถูกมรสุมการเมืองเล่นงานในเวลาต่อมา ระหกระเหินเป็นผู้บังคับการกองวิชาการ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ทว่าเจ้าตัวไม่เคยถอดใจและยอมรับความจริงว่า ไม่รู้สึกอะไร เป็นของธรรมดา คนเรามีขึ้นมาลง เป็นผู้บังคับการปราบปรามได้ถือว่าเจ๋งแล้ว ไปอยู่โรงเรียนนายร้อยก็ยังทำงานได้นะ ไม่ใช่ไปแบบกูไม่สนใจแล้ว ถูกย้ายก็ไปพัฒนา ไปประชุมอาจารย์เลย เขาก็งง มันไม่น่าจะมาทำงานนะ เราลุยวิชาการร่วมกับอาจารย์ปรับปรุงหลักสูตรใหม่ บอกสอนอย่างนี้ไม่ได้แล้ว กระดาษเหลืองหมดแล้ว ตำราต้องปรับใหม่ ต้องไปดูโลกความเป็นจริง ลูกศิษย์ออกไปแล้วจะเจออะไรบ้าง แล้วเอาตรงนั้นย้อนกลับมา

ตอนย้ายไกลไปอยู่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เขายังได้แนวคิดใหม่เมื่อเข้าร่วมประชุมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ หรือ สสส.เจอคำถามว่า คนไทยตายเพราะอุบัติเหตุ 20,000 กว่าศพต่อปี ตำรวจจะช่วยอะไรได้บ้าง พล.ต.ต.โกสินทร์มองว่า ตำรวจทำที่ผ่านมา ป้องกันอุบัติเหตุไม่ได้ เพราะตำรวจจับคนประมาทอย่างเดียว จริงๆ แล้วสาเหตุของอุบัติเหตุมีตั้ง 4 อย่าง 1.คนขับ 2.สภาพรถ 3.สภาพถนน และ 4.สภาพแวดล้อม เลยเสนอไอเดียต่อ สสส.ขอเปลี่ยนวิธีการทำงานของตำรวจใหม่

   “ตำรวจต้องไม่มองเรื่องคนขับอย่างเดียว ต้องไปดูเกิดจากถนนไม่ดีหรือเปล่าแล้วไปประสานกับแขวงการทาง หากเกิดจากสภาพรถไม่ดีก็ประสานกับบริษัทรถ หรือมีฝูงแพะ ฝูงวัวตัดหน้าถนนก็ต้องไปถามคนเลี้ยงแพะ เลี้ยงวัว นี่คือสิ่งที่ต้องแก้ในภาพรวม ไม่ใช่แค่เอาผิดกับคนชนอย่างเดียว ปรากฏว่าอุบัติเหตุลดลง 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นไอเดียที่ได้จากการทำงานสืบสวนอาชญากรรม ถ้าเราสืบไม่รู้ใครเป็นคนทำ หรือไม่รู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไรก็จะคลี่คลายไม่ได้ ดังนั้นถ้าไปมุ่งว่า คนขับประมาทอย่างเดียวมันก็ไม่ได้ แล้วถ้าเกิดน้ำมันเครื่องเต็มถนน ต่อให้พ่อชูมัคเกอร์ ก็เอาไม่อยู่ จะไปโทษแต่คนขับประมาท แต่อย่างนี้มันสภาพแวดล้อม”

เขายกตัวอย่างอีกว่า เหมือนน้ำเมือกปลาที่สมุทรสาคร ไม่ต่างน้ำมันเครื่อง หยดลงบนถนน มอเตอร์ไซค์ผ่านมาก็คว่ำทันที อย่างนี้มันไม่เกี่ยวกับคนขับรถเลย เพราะฉะนั้นก็ต้องไปคุยกับแพปลา ผู้ประกอบการขนส่งว่า รถห้องเย็นจะทำยังไงไม่ให้น้ำรั่วออกมา ปิดกั้นยังไง ไม่อย่างนั้นจะจับดำเนินคดี  ไปเที่ยวจับคนขับ มันไม่ใช่ นี่คือสิ่งที่อยากจะบอกให้ตำรวจจราจร พนักงานสอบสวนรู้ว่า สิ่งที่ทำมาทั้งหมดมันผิด ตำรวจทุ่มกำลังทั้งหมดไปดูแลเรื่องอาชญากรรม แต่ชาวบ้านตายจากอุบัติเหตุมากกว่า 3 ถึง 4 เท่า และเชื่อว่า อนาคตชีวิตประชาชนคนไทยจะปลอดภัยมากขึ้น เพราะมีคนรู้สาเหตุแล้วไปแก้ไข ไม่ใช่แค่มีร้อยเวรคนเดียวไปตรวจสอบอุบัติเหตุเสร็จแล้วก็แจ้งข้อหา แล้วกลับโรงพัก

ท้ายสุด พล.ต.ต.โกสินทร์อยากฝากนักสืบรุ่นน้องว่า ทุกอย่างต้องอาศัยการเรียนรู้ ใช้ประสบการณ์จากตัวเหยื่อ จากตัวคนร้ายเอามารวมกันจะสามารถสร้างเรื่องราวของเหตุการณ์ในคดีได้  ในเมื่อผู้เสียหายมีหลากหลายอาชีพ เวลาเป็นเหยื่อก็คิดวิถีของอาชีพเขา ส่วนคนร้ายก็มีแผนประทุษกรรมหลากหลายรูปแบบ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่สามารถเอามาจอยกันได้ เราจะไม่รู้เลยว่า เหตุการณ์จริงๆ เป็นยังไง จำเป็นต้องเอาประสบการณ์มาสร้างจินตนาการ สร้างเหตุการณ์ขึ้นมาใหม่ ตรงนี้โดยเฉพาะของเอฟบีไอถือเป็นวิชาที่สำคัญ อีกเรื่อง คือ ศิลปะการซักถามผู้ต้องหา แค่ซักผู้ต้องสงสัยแค่ชั่วโมงเดียวที่ห้องดีๆ บรรยากาศที่ถูกต้องอาจจะได้ข้อมูลหมดเลย อยากจะให้ตำรวจมีจิตวิทยาในการซักผู้ต้องหา

“ในการซักถาม สิ่งที่มันพูดจริง หรือไม่จริง สีหน้า ท่าทาง อากัปกริยา มันจะฟ้องเองว่า มันกำลังไม่ได้พูดความจริง เป็นสิ่งที่สำคัญอยากจะฝากไว้ ทุกคนมีจุดอ่อน เราต้องกระแทกจุดอ่อนได้ มันก็จะออกมาหมด ใช้จิตวิทยาเล่นกับมัน”

  โกสินทร์ หินเธาว์ !!!    

 

 

RELATED ARTICLES