“มี สร.1 คนเดียวเท่านั้นที่ช่วยได้” ใครบางคนหาทางออก
ยามนั้น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล สีหน้าเคร่งเครียด ไม่มีทีท่าคลายกังวล เอ่ยลาจากผู้ใหญ่ที่นับถือออกจากโรงแรมหรูใจกลางกรุง มุ่งหน้าพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิเรียกสติที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช
ภายหลังเจอวิบากกรรมตามคำสั่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ย้ายไปปฏิบัติราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขาดจากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
ลิบคืนอำนาจคุมศูนย์ปราบปรามต่าง ๆ ที่เจ้าตัวกำลังโลดแล่นโดดเด่นดังเป็นพลุแตก
ต่อมาไม่กี่วัน ทุกอย่างเหมือนรวบรัดตัดตอน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ งัดมาตรา 44 ออกมา “ดับประเด็นร้อน” ให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล โอนย้ายจากข้าราชการตำรวจ มาเป็น ข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี(นักบริหารระดับสูง)
ให้มีผลทันที ตั้งแต่วันนี้ 9 เมษายน เป็นต้นไป
นับตั้งแต่วันนั้น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ถูกความเงียบลักพาตัวกลืนหายไปท่ามกลางกระแสข่าวลือวิเคราะห์กันไปต่าง ๆ นานา
ไม่รู้ว่า อดีตนายพลตำรวจดาวรุ่งอนาคตไกลที่กลายเป็น “ดาวอับแสง”จะมีชะตากรรมร้ายดีอย่างไร
กระทั่งเวลาผ่านไป 2 เดือนเศษ อำนาจบินกลับมาอยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผลักดันให้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกสมัย
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล เริ่มปรากฏกายให้เห็นตามที่สถานะด้วยใบหน้า “เปื้อนยิ้ม” บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกแทนคำพูด
ข่าวลือที่โดน “ป้ายผิด” เกี่ยวกับเรื่องราวทุจริตประพฤติมิชอบสารพัดในองค์กรเก่าถูกกองเป็นเรื่อง เขาเล่าว่า ของใครต่อใครหลายคน
กองเชียร์แฟนคลับต่างลุ้นกันใจจดใจจ่อรอ “วันฟ้าใหม่”
ขณะที่กองแช่งต่างลุ้นไปในทางตรงกันข้ามอยากอาศัย “วันฟ้าเปิด” ระเบิดส่องทางสว่างในทุ่งปทุมวัน
เดิมพันด้วยอนาคตของอดีตนายพลตำรวจวัยย่าง 50 ปีที่ยังเหลืออายุราชการนานกว่า 11 ปี
กระทั่งมีภาพข่าว พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล เดินทางกลับไปยังวัดเดิมที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่ได้เดียวดายลำพังเหมือนช่วงเผชิญมรสุมฤดูร้อนของเดือนเมษายน
วันรุ่งขึ้น เกิดกระแสสนั่นโลกออนไลน์ที่ฮือฮาตามมาอีกว่า หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเสียง “ปริ่มน้ำ” เรียบร้อยแล้วจะมีการชงเรื่องโอน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล โอนคืนถิ่นเดิม แต่ไปนั่งตำแหน่งที่ใหญ่กว่า
ขึ้นชั้นเป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
“มี สร.1 คนเดียวเท่านั้นที่ช่วยได้” เสียงของใครคนนั้นยังคงก้องอยู่ในหัว
สุดท้ายจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด ต้องปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริง