“ในชีวิตผม ยอมรับว่า โหดเหี้ยมกับโจรมาก ยิงด้วยตัวเอง และสั่งยิงไม่ต่ำกว่าพันศพ”

ถ้าเอ่ยชื่อ “อินทรีอีสาน” น้อยคนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จะไม่รู้จัก พล.ต.อ.บุญทิน วงศ์รักมิตร อดีตนายพลตำรวจตำนานมือปราบมากด้วยบารมีคนนี้อย่างแน่นอน

พื้นเพเดิมของเขาเป็นคนจังหวัดลำปาง พ่อเป็นนักเลงใหญ่ ผู้กว้างขวางเมืองรถม้า เนื่องจากมีธุรกิจมากมาย ทั้งเจ้าของโรงแรม รถบรรทุก นายอากรตั้งอยู่ใจกลางเมือง เริ่มการศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนเมืองจังหวัดลำปาง แต่ไปจบมัธยมปีที่ 6 โรงเรียนพิบูลวิทยาลัยลพบุรี ก่อนสมัครเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยสำรองทหารบก รุ่นที่ 6 หรือรุ่น 500 เพราะมีจำนวน 500 นาย

“ผมชอบตำรวจมาตั้งแต่เด็ก  ทั้งที่ครอบครัว ไม่มีเชื้อสายเป็นตำรวจแม้แต่คนเดียว” พล.ต.อ.บุญทินให้เหตุผลการที่เลือกมาเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ถึงขั้นต้องยอมเปลี่ยนนามสกุลทั้งตระกูลจาก “ซัวหลี” มาเป็น “วงศ์รักมิตร” เพื่อความเจริญก้าวหน้าในเส้นทางสีกากี  มีเพียงพี่ชายคือ เทียมบุญ อินทรบุตร อดีตโปรโมเตอร์มวยชื่อดังของวงการกำปั้นเมืองไทยเท่านั้นที่นำเอาชื่อแม่ลูกอินทร์ไปเป็นนามสกุลตัวเอง

ทันทีที่จบโรงเรียนนายร้อยถูกส่งเป็นว่าที่ ร.ต.ต.ในตำแหน่งผู้บังคับหมวดตระเวนชายแดนที่อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ก่อนลงไปปราบโจรจีนคอมมิวนิสต์ที่ภาคใต้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับ พล.ต.ต.ราชศักดิ์ จันทรัตน์ เพื่อนร่วมรุ่นนาน 3 ปี พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจสมัยนั้นปูนบำเหน็จความดีความชอบให้เลื่อนยศเป็น ร.ต.ท.พร้อมกับมอบแหวนทองคำฝังเพชรอัศวินไว้เป็นที่ระลึก

เรียนรู้ยุทธวิธีการรบในภาคสนามทุกรูปแบบตั้งแต่อายุเพียง 19 ปีจาก พุฒ บูรณสมภพ พันศักดิ์ วิเศษภักดี และสงัด เลิศโรจนภิรมย์ ทีมนายตำรวจมือปราบอัศวินคู่บารมี “เผ่า ศรียานนท์” กระทั่งเข้าไปอยู่ในชุดปราบกบฏแมนฮัตตันเมื่อปี 2494 หลังจาก น.ต.มนัส จารุภา นายทหารเรือแกนนำกลุ่มจี้ตัวจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีไปขังไว้ในเรือรบหลวงศรีอยุธยา ระหว่างจอมพล ป.เดินทางเป็นประธานพิธีมอบเรือขุดของอเมริกันชื่อ “แมนฮัตตัน” ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ

กลุ่มกบฎของทหารเรือบุกยึดโรงไฟฟ้าวัดเลียบเพื่อต่อรองอำนาจรัฐบาล พล.ต.อ.เผ่า มีคำสั่งให้ พันศักดิ์ วิเศษภักดี นำกำลังไปดำเนินการใช้เวลาไม่ถึงวันสามารถควบคุมสถานการณ์ที่โรงไฟฟ้าวัดเลียบได้เป็นผลสำเร็จ “มันเหมือนในฉากบู๊ในหนังเลย พันศักดิ์ควงปืนเปิดฉากยิงใส่ พวกผมก็ตามไปยิง อายุแค่ 19 ระดมถล่มกันเป็นชุด ทหารเรือตาย 12 นาย ส่วนที่เหลือยอมแพ้” พล.ต.อ.บุญทินไม่เคยลืมเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในวันนั้น

ปี 2500 หมวดบุญทิน ถูกย้ายไปเป็นผู้บังคับหมวดตระเวนชายแดนที่ค่ายสุรนารี ตำบลจอหอ จังหวัดนครราชสีมา อยู่ได้ไม่นานก็ถูกส่งไปประจำกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต 4 อุดรธานี และเป็นผู้บังคับกองร้อยตระเวนชายแดน อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย นำกำลังออกกวาดล้างผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ครั้งแรกที่บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอธาตุพนม ปิดล้อมยิงปะทะกันจนเกือบทิ้งชีวิตไว้ในป่าดงของผู้ก่อการร้าย

ต่อมา เลื่อนเป็นผู้บังคับกองร้อยตระเวนชายแดน จังหวัดมุกดาหาร ยุค เทียนชัย ศิริสัมพันธ์ และบุญ รังคะรัตน์ คุมกองพันทหารในพื้นที่ ร่วมกันกวาดล้างผู้ก่อการร้ายครั้งใหญ่บริเวณเทือกเขาภูพาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ในวัน “แสงปืนแตก” เดือนสิงหาคม ปี 2508 ส่งผลให้ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ถูกชุดปฏิบัติการทหารและตำรวจสังหารไป 193 ศพ

“ผมอยากอยู่สายนักรบ แต่ต้องไปอบรมผู้บังคับกองพันเพื่อเรียนต่อเสนาธิการหวังติดยศนายพลในอนาคต ผู้ใหญ่อนุมัติให้ผมไปเรียน พรรคพวกพากันดีใจ ฉลองกันใหญ่ พออีก 7 วันจะไปเรียน ต้นสังกัดบอกให้ไปรอเรียนรุ่นหน้า เพราะมีเพื่อนร่วมรุ่นตัดหน้า ทำเอาผมรู้สึกอับอาย  ตัดสินใจไม่เรียน ขอวิ่งย้ายไปอยู่ภูธร เจ็บใจมาก ไม่เป็นแล้วตำรวจตระเวนชายแดน บอกพี่เทียมบุญให้พาไปหาผู้บัญชาการตำรวจภูธร ท่านก็รับทันที”

กลายเป็นจุดพลิกผันของผู้กองบุญทิน วงศ์รักมิตร จากเส้นทางชีวิตนักรบสู่ตำนานมือปราบฉายา “อินทรีอีสาน” ในห้วงเวลาต่อมา

นายตำรวจหนุ่มพ้นสังกัดตำรวจตระเวนชายแดนไปเป็นผู้บังคับกองอำเภอธาตุพนม ดินแดนผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่เขาเคยปะทะครั้งแรก และคราวนี้ก็ปะทะกันอีกรอบ ผู้ว่าราชการจังหวัดชอบใจ เห็นผลงานผู้กองบุญทินยกกำลังไปรบอยู่ตลอด ชนิดข้าวปลาไม่ได้กิน

“ผู้ก่อการร้าย มีปืนกลมือ ปืนแม็กกาซีน สวมชุดเขียว ติดหมวกดาวแดง เสียบลูกระเบิดมือจีนแดง วันหนึ่งผมยิงตายหมด 6 ศพ ผู้ใหญ่เริ่มเห็นฝีมือ พอมีคดีอะไรสำคัญ ๆ ที่สืบกันมานาน 2 เดือนไม่ออก บอกให้ผมช่วยสืบ วันเดียวรู้หมด ว่าใครเป็นใคร เพราะผมมีมวลชน นายอำเภอก็พวกผม เรียกผมพี่ ส่วนตำรวจเรียกเฮีย”

พล.ต.อ.บุญทินเล่าว่า บังเอิญคดีนั้นคนถูกยิงเป็นสมาชิกสภาจังหวัด ลูกน้องนายไขแสง สุกใส นักการเมืองนครพนม คนสนิทของ พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจ จึงกำชับให้ พล.ต.ต.จำรัส มังคลารัตน์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรจับคนร้ายมาให้ได้  “ผมไปสืบสวนชั่วโมงเดียวรู้หมด ก็เพราะพวกผมเป็นคนยิง เป็นอาสารักษาดินแดน ผมจึงไปต่อรองกับนายอำเภอให้พามามอบตัวกับผม เพื่อลดกระแสแล้วค่อยสั่งไม่ฟ้อง ก่อนนำตัวไปให้ผู้ใหญ่แถลงข่าวพร้อมปืนคาร์บินของกลาง สาเหตุเพราะคนตายชอบฟ้องร้องตำรวจกับอำเภอเลยถูกลงขันฆ่า”

ผลพวงจากการปราบปรามแบบเด็ดขาด ยิงโจรตายแต่ละครั้ง 3 ศพบ้าง 6 ศพบ้าง ผู้บังคับบัญชาเลยมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.บุญทิน ย้ายเป็นผู้บังคับกองเมืองอุดรธานี ขึ้นรองผู้กำกับการ จังหวัดอุดรธานี ก่อนก้าวเป็นผู้กำกับการ จังหวัดอุดรธานี พื้นที่ที่เต็มไปด้วยความเจริญ มีรถแท็กซี่พันกว่าคัน บาร์และไนต์คลับ สำหรับรองรับทหารจีไออีกนับไม่ถ้วน แต่ปะปนไปด้วยคดีอาชญากรรม ปล้นฆ่า ข่มขืน ดงนักเลง ดาวร้ายจากจังหวัดต่างๆ ไปรวมตัวตั้งแก๊งหากินอยู่ที่นั่น หากทว่า พล.ต.อ.บุญทิน จัดการปราบปรามชนิดดุเดือดเลือดพล่านไล่ยิงจับตายกันสนั่นเมืองจนคดีอาชญากรรมเริ่มคลี่คลาย

“อธิบดีพจน์ เภกะนันทน์ เห็นว่า คดีสมัยนั้นเยอะมาก ท่านบอกผมว่า อั๊วให้ลื้อเป็นผู้กำกับอุดรธานี แต่ภายใน 3 เดือน คดีต้องลด ถ้าไม่ลด ลื้อไปเป็นผู้กำกับแม่ฮ่องสอนแทน ผมกวาดล้างครั้งใหญ่เอาโจรไปฆ่าเยอะมาก ใช้นามเรียกขานทางวิทยุว่า อินทรี แต่งพลร่มชุดเขียว สะพายปืนกล พกปืนสั้น ห้อยระเบิด ออกทำงานทุกวัน สื่อมวลชนจับทาง ถ้ารู้ว่าอินทรี 1 ไปไหน ต้องมีงานใหญ่ ยิงกันสะบั้นหั่นแหลก พากันตั้งฉายา อินทรีอีสาน มาตั้งแต่ตอนนั้น” อดีตผู้กำกับจังหวัดอุดรธานีบอกที่มาที่ไปของฉายา

อินทรีอีสานขวัญใจสื่อมวลชนยุคนั้นบอกว่า ตอนเป็นผู้กองอุดรธานี มีคดีนักโทษแหกคุก เขายิงตายไป 3 ศพ พอเป็นผู้กำกับก็เกิดคดีซ้ำขึ้นมาอีกค ราวนี้เขาสั่งจับตายเรียบ 6 ศพ หลังจากเข้าไปในเรือนจำไม่เกิน 1 ชั่วโมง เสียงปืนดัง ชาวบ้านตบมือกันเกรียว บอกอินทรีเข้าไป เสียงปืนดังขนาดนี้ ตายหมดแน่นอน “แต่ผมวางแผนก่อนนะ ไม่ได้ทำซี้ซั้ว มีรูปแบบ คุณเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ยังยอม ผมไปกวาดล้างใหญ่ที่นาแก เขายังเรียนหนังสืออยู่เลย ฆ่าไป 193 ศพ เขายังพูดกับเพื่อนว่า พี่บุญทินเป็นมือปราบที่ไม่เหมือนใคร ไม่มีใครเหมือน และไม่มีใครทำได้เหมือนพี่เขา”

เหตุการณ์นักโทษจับผู้คุมเป็นตัวประกันครั้งใหญ่ในเรือนจำจังหวัดอุดรธานีเกิดขึ้นเมื่อปี 2522 ผู้คุมโดน 6 นักโทษคดีอุกฉกรรจ์ใช้มีดจี้เฉือนหน้าอกต่อรองให้ตำรวจเอารถมา 1 คัน เติมน้ำมันให้เต็ม อะไหล่อีก 5 แกลลอน ปืนเอ็ม 16 จำนวน 6 กระบอก แม็กกาซีนกระบอกละ 5 อัน ลูกกระสุนเต็ม บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด นายพิศาล มูลศาสตร์สาทร เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเรียกผู้กำกับบุญทินไปหารือแข่งกับเวลา เนื่องจากผู้คุมที่เป็นตัวประกันบางคนเสียเลือดมาก

อดีตมือปราบคนดังบอกว่า ก่อนหน้านั้นเคยมีนักโทษแหกศาลที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จี้ผู้พิพากษาเป็นตัวประกันหนีได้หมด ครั้งที่ 2 เกิดที่เรือนจำจังหวัดสงขลา นักโทษหนีได้อีก ครั้งสุดท้ายแหกคุกจังหวัดเพชรบุรีมากถึง 11-12 คน ต้องใช้กำลังตำรวจจำนวน 200 กว่านายล่ากันนาน 3 เดือนถึงตามฆ่าได้หมด จึงนำบทเรียนทั้ง 3 แห่งมานั่งคิดวิเคราะห์ว่า ทำไมแหกได้ แล้วทำไมจับไม่ได้ ก่อนเรียกพ.ต.ท.ทวีศักดิ์ ทุวานนท์ ขณะนั้นเป็นสารวัตรปราบปราม และพ.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจบูลย์ สารวัตรใหญ่เมืองอุดรธานี มือปราบที่ทำงานด้วยกันมาประชุม

“ผมถามพวกเขาว่า ถ้าเหตุเกิดในเรือนจำ หรือบนศาลในเมืองอุดร ลื้อ 2 คนลองคิดดูซิว่า จะทำอย่างไรถึงจะหยุดมันได้ ส่วนผมมีคำตอบไว้ในใจอยู่แล้ว นั่งคุยกันไปคุยกันมา คิดกันไม่ออก ผมให้เวลา 1 วัน พรุ่งนี้มาให้คำตอบ วันรุ่งขึ้นผมถามอีก คิดออกหรือยัง ทั้งคู่ก็ยังบอกคิดไม่ออก ผมเฉลยว่า ต้องปืนติดกล้องเล็งในระยะไกล ทุกคนไม่ว่าตัวประกัน หรือคนร้าย ถ้ามีเสียงปืนปังขึ้นมา มันจะกระเด็นกันหมด หมอบหมดตามสัญชาตญาณ ผมอ่านสามัญสำนึกแท้ ๆ ตอนนั้นที่เหลือก็ใส่ได้เลยจึงควักเงินหมื่นกว่าบาทให้ทวีศักดิ์ไปซื้อปืนยาวติดลำกล้องมาเก็บไว้”

“สารวัตรทวีศักดิ์ เป็นนายตำรวจมือปราบ ชอบยิงพวกลักเล็กขโมยน้อยอยู่แล้วเขาเป็นคนยิงปืนแม่น ผมตั้งให้เขาเป็นมือยิงคนแรกหากเกิดเหตุการณ์จี้ตัวประกันในเรือนจำ จะว่าไปแล้วอุดรธานีมีสถิติ รถจักรยานยนต์ รถเก๋งหายเยอะ พอพวกผมปราบปรามอย่างเด็ดขาดก็พากันหนีหายหมด  ในชีวิตผม ยอมรับว่า โหดเหี้ยมกับโจรมาก ยิงด้วยตัวเอง และสั่งยิงไม่ต่ำกว่าพันศพ”  พล.ต.อ.บุญทินบอกถึงนโยบายการทำงานในอดีต

เมื่อมีการวางแผนรับมือไว้ล่วงหน้า หลังรับแจ้งว่านักโทษแหกคุกแล้วจี้ผู้คุมเป็นตัวประกัน “ผมสั่งทันที ให้ทวีศักดิ์ ไปเอาปืน รองสารวัตรสอบสวนเอากำลัง 150 คนไปล้อมเรือนจำ สารวัตรใหญ่พิชัย เอามือยิงไป 5 คน เตรียมยิงชาร์จ ขณะทวีศักดิ์ยิงคนแรกล้มลงไป ทุกอย่างเดินไปตามแผน ผมเข้าไปยืนประจันหน้าเจรจา มันบอกท่านผู้กำกับ เอารถมา ปืนมา เดี๋ยวจะปล่อยตัวประกัน”

“ผมบอก กูไม่ปล่อย ไม่ทำอะไรทั้งนั้น มึงน่ะตายแน่ ๆ  ตายในนั้นแหละ ไม่มีโอกาสมาตายข้างนอกด้วย ทำเอาตัวประกันผวา กลัวถูกฆ่า ผู้ว่าพิศาลถาม ทินจะเอายังไง ผมก็เล่าแผนให้ฟังว่าจะยิงในระยะไกล พอปังแรก อีก 4-5 คนที่เหลือก็ชาร์จยิงต่อ ท่านฟังแล้วตกใจ จะเอาอย่างนั้นเลยเหรอ ผมบอก พี่ครับ เชื่อผมเถอะ สัญชาตญาณคนมันต้องหมอบเอาตัวรอด ไม่ว่าตัวประกัน หรือคนร้าย ถ้าผิดพลาด ผมก็จำเลยที่ 1 ส่วนพี่เป็นจำเลยที่ 2” นายพลอีสานยังกล้าปล่อยมุกท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังเครียดอย่างหนัก

“ทุกคนต้องเล็งเป้าหมายของตัวเองไว้ ผมกำชับแล้วเดินไปด้านหลังที่ทวีศักดิ์ซุ่มเล็งปืนอยู่ห่างจากเป้าหมายในระยะ 80 เมตร ถามทวีศักดิ์ พร้อมมั้ย พร้อมครับ ผมบอกให้ยิงเสื้อดำที่จี้ผู้คุมชั้นเอก ตัวประกันมันกำลังแย่ ผมจะเดินไปแล้วลูบหัวส่งสัญญาณยิง ก่อนย้ำทุกจุดเป็นครั้งสุดท้าย เดินจุดบุหรี่ไปจ้องหน้านักโทษตัวแสบ ลูบหัวส่งซิก เสียงปืนนัดแรกดังปัง ไอ้เสื้อดำที่ผมบอกกระเด็น ส่วนที่เหลือผงะทิ้งตัวประกัน พิชัยกับพวกได้โอกาสยิงใส่หูดับตับไหม้ ใช้เวลาไม่เกิน 10 วินาที ผมสั่งหยุดยิง”

นักโทษทั้ง 6 คนยังไม่ตาย กระสุนโดนแค่ลำตัว ขณะที่ตัวประกันทั้งหมดปลอดภัย พล.ต.อ.บุญทิน ให้เอาผู้คุมที่บาดเจ็บออกไปก่อน สารวัตรพิชัย สุนทรสัจบูลย์ ทำหน้าที่เดินไปตรวจความเรียบร้อยในที่เกิดเหตุ “พิชัยตระโกนว่า พี่ มันยังไม่ตาย ผมบอกถ้าอย่างนั้นซัดแม่งมันให้หมด พิชัยเดินไปยิงหัวนักโทษทุกคนตายเกลี้ยง”

หลังจากวิกฤตินักโทษแหกคุกในคราวนั้น พล.ต.อ.บุญทิน ยังได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์ ขณะดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมตำรวจนำฆาตกรข่มขืนหญิงสาวไปยิงเป้า 4 คน ตามคำสั่งมาตรา 21 และทำคดีวิสามัญรวมอีก 14 ครั้ง ได้พิจารณาความดีความชอบเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งตามลำดับ เป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 5 ขึ้นผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 4  เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธร 2 แล้วขยับนั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจภูธร 2 คุมพื้นที่ภาคอีสานทั้งหมด

ได้เป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจเมื่อปี 2534 กระทั่งก่อนเกษียณอายุราชการ 5 เดือนในปีถัดมา พล.ต.อ.เภา สารสิน อดีตอธิบดีกรมตำรวจขยับเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชื่นชอบการทำงานของ “บุญทิน”มานานจึงดึงเขาไปรับตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และยังได้รับพระราชทานยศเป็น พล.ต.อ.ตามมาด้วย

ปัจจุบันเขายังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ กลางเมืองโคราช แต่ยังมีอำนาจบารมีให้ชาวบ้าน รวมทั้งนายตำรวจรุ่นหลัง และนักการเมืองใหญ่หลายพรรคแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ สมกับฉายา “อินทรีอีสาน”

บุญทิน วงศ์รักมิตร !!!

 

RELATED ARTICLES