ไม่ว่านักการเมืองใหญ่หน้าไหนที่ได้โอกาสเข้ามานั่งคุมสำนักปทุมวัน
ย่อมมีอาญาสิทธิ์สั่งตำรวจให้ “ขวาหัน–ซ้ายหัน” ตามอำนาจที่มีอยู่เต็มมือ หากใครขืนดื้อดึงขัดใจ มีหวังต้องกระเด็นตกเก้าอี้
วันนี้แม้อำนาจ “ผลัดใบ” กลับไปอยู่ในมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะส่งสัญญาณดี หรือ “ร้ายกว่าเก่า” ต้องติดตามดูกันต่อไป
ตลอด 5 ปีที่ผันผ่าน เสมือนตำราแบบเรียนที่ไม่อยากให้ใครลอกเลียนแบบ เพราะคนในเครื่องแบบตามสยบ “ศิโรราบ” ขุมกำลังอำนาจบางกลุ่ม เพื่อแลกความเจริญก้าวหน้าในอาชีพรับราชการ โยนทิ้งอุดมการณ์คนทำงานส่วนใหญ่แทบหมดเกลี้ยง
หลายคนเลือกต่อ “ท่อน้ำเลี้ยง” เพียงเพราะต้องการเอาตัวรอดกอดตำแหน่งทำเลทอง ไม่ได้มองถึงความสามารถ ขอแค่โอกาสได้ลงลิ้มลองรสชาติผลประโยชน์นอกระบบ ทุบทำลายระบบวัฒนธรรมองค์กรตำรวจป่นปี้
มีไม่น้อยต้องทำความรู้จักอาณัติสัญญาณชีพ
“ลื้อต้องมีนโยบายมาก่อน”
กว่าพวกเขาจะเข้าใจคำว่า “นโยบาย” ของขุนทัพคือ “ตั๋ว” เล่นเอาหน้ามืดตามัววิ่งเต้นกันตาตั้ง
นโยบายที่นอกจาก “ตั๋ว” อาจต้องมี “ยอดตัวเลข” เติมเสริมความแข็งไปแข่งขันชักหลักปักฐานที่หมายในฝัน
อีกไม่น้อยสะท้านหูสะเทือนใจกับคำว่า ค-ค-ค
“อะไรหรือ ค-ค-ค”
มันมาจากคำว่า “คนคุ้นเคย” คำพูดเปรียบเปรยประชดประชันของผู้กุมขั้วอำนาจ
ต้องรู้จัก ค-ค-ห
มันมาจากคำว่า “คนเคยเห็น” บ่งบอกถึงลำดับความสำคัญของวัฒนธรรมการวิ่งเต้น
ถ้าไม่มีเส้น ไม่มี ค-ค-ค หรือ ค-ค-ห ให้หันหลังไปรอต่อคิว
ขณะเดียวกันพวกเขาต้องรู้จัก แก๊ง จ-อ-ก ที่จะบอกหนทางสู่ความสำเร็จในการแต่งตั้งโยกย้าย แต่ต้องผ่านน้ำลายความหิวกระหายของบรรดา “ก๊วนอำนาจ” หยิบยื่นกระดาษเป็นเงินตราตีราคาค่าเดินโพย
กอบโกยกันพุงกางแถมแผ้วถางทางให้รุ่นน้องต่อทอดรสนิยมวิ่งหา “นโยบาย” ไว้เบิกทางสบายในอนาคต
เป็นเวลากว่า 5 ปีที่อำนาจหอมกรุ่นรสละมุนวุ่นวนเวียนอยู่ในสำนักปทุมวัน กระทั่งถึงวันเปลี่ยนแปลงผลัดใบ
เมื่อกลิ่นหอมกรุ่นหมดความหอมหวนตลบอบอวลควรให้ไปนั่งทบทวนสัจธรรมชีวิต
จากที่เคยมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง รอเข้าคิวเอาอกเอาใจกันเต็ม “บ้านหลังใหญ่” รถราจอดกันจอแจระเกะระกะ “รถหลวง” จอดแช่กันเห็นตะหง่านในเวลาราชการ
วันนี้อันตรธานกลายเป็นตำนานไปเสียแล้ว
และพวกเขาจะกลับมาเป็นฝ่ายที่ต้องรู้จักคำว่า ค-ค-ต
“คนคุ้นตา” หายหน้าไปไหนกันหมด !!!