นับเป็นไอเดียดีแต่ เกาถูกที่คัน หรือเปล่าไม่รู้
กองบัญชาการตำรวจนครบาลจัดโครงการทดสอบความรู้ด้านการจราจร “วัดกึ๋น” การทำหน้าที่ “ตำรวจหัวปิงปอง” ต้องแม่นข้อกฎหมายไปใช้ปฏิบัติหน้าที่ตามท้องถนนเมืองหลวง
โครงการนี้ผู้บังคับบัญชามองว่า ตำรวจจราจรเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับการจราจรในการปฏิบัติหน้าที่
ต้องสามารถชี้แจงประชาชน หรือ ผู้ถูกจับกุมให้เข้าใจได้ว่า ผิดกฎหมายอย่างไร อยู่ในมาตราใด
พล.ต.ต.สุคุณ พรหมายน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จึงร่วมหารือ พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจจราจร ในฐานะหัวหน้ารับผิดชอบงานจราจร ผุดโครงการอบรมเรื่องของงานจราจร
จัดสอบวัดความรู้เพื่อประเมินว่าตำรวจสายงานจราจรมีความรู้มากแค่ไหน
และจะผ่านการสอบหรือไม่
ตั้งเป้าทดสอบนายตำรวจระดับรองผู้กำกับการไปถึงผู้บังคับหมู่การจราจรในสังกัดกองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9 และกองบังคับการตำรวจจราจร รวมประมาณ 3,000 กว่านาย
แบ่งวิชาที่สอบเกี่ยวกับความรู้เรื่องข้อกฎหมาย กฎจราจร พระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับงานจราจร รวมถึงกฎจราจรที่มีการเปลี่ยนแปลง
ข้อสอบเป็นแบบปรนัย 100 ข้อ แต่มีตำราให้อ่านล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวประมาณ 1,000 ข้อ
แต่ละกองบังคับการจะได้ข้อสอบไม่ซ้ำกันสลับหมุนเวียนอยู่ใน 1,000 ข้อที่แจกเป็นคู่มือเตรียมสอบไปก่อนหน้า
ให้เวลาสอบ 1 ชั่วโมง 30 นาที
เกณฑ์ตัดสินต้องสอบให้ผ่าน 80 ข้อขึ้นไป
ผู้ประเมินข้อสอบเป็นหน้าที่ของศูนย์ฝึกอบรมกองบัญชาการตำรวจนครบาลรวมกับรองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1-9 ที่รับผิดชอบหน้างานจราจร และรองผู้บังคับการตำรวจจราจร
สำหรับตำรวจที่สอบไม่ผ่านเกณฑ์ เบื้องต้นจะให้โอกาสสอบใหม่อีกรอบ
หากยังสอบไม่ผ่านอีก อาจจะพิจารณาคำสั่งให้ย้ายไปสายงานอื่น
เป็นการสอบวัดความรู้ตำรวจจราจรอย่างจริงจังของหน่วยหัวปิงปอง เพราะปัจจุบันชาวบ้านมีความรู้มากขึ้น ขณะที่โลกโซเชียลเปลี่ยนแปลงไปในบทบาทชอบตรวจสอบการทำหน้าที่ของตำรวจ
ตำรวจจำเป็นต้องแม่นข้อกฎหมาย ไม่ใช่เขียนข้อหาผิด ๆ ถูก ๆ ตามอำเภอใจลงไปใน “ใบสั่ง” หวังเพียงเงินรางวัลส่วนแบ่งค่าเปรียบเทียบปรับ
กองบัญชาการตำรวจนครบาลตั้งเป้าไว้ว่า ตำรวจจราจรทุกคนต้องเป็นตำรวจมืออาชีพ
“ถ้าถึงขนาดใบสั่งยังเขียนไม่ถูก ก็ต้องถูกลดระดับลงไปอยู่ฝ่ายอำนวยการ ธุรการ หรือประชาสัมพันธ์บนโรงพัก เหมือนเป็นการลงโทษห้ามถือใบสั่งไปในตัว” พล.ต.ต.สุคุณ พรหมายน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลว่า
สะกิดเตือนอย่างเดียว
ไหนจะทดสอบความรู้ด้านกฎหมายแล้วควรจะทดสอบ “สภาพจิตใจและอารมณ์” ของผู้ปฏิบัติงานที่ต้องใช้กฎหมายกับชาวบ้านด้วย
เนื่องจากปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการปะทะความคารมจากคำพูดไม่เข้าหู
ยึดหลักนิติศาสตร์มากกว่า “รัฐศาสตร์” ขาดความอะลุ้มอล่วย มันคือ “ความห่วย” ในพฤติกรรมของตำรวจจราจรบางนายทำผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทั้งองค์กรเสียหาย
ดูเหมือนเป็นพวกชอบหิวกระหายตั้งแก๊งปล้นกลางถนน