ปรับขบวนหัวเรือนักสืบ

เมื่อครั้งก้าวขึ้นนั่ง “เก้าอี้พิทักษ์ 1 ใหม่ ๆ   พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความคาดหวังสูงในการพัฒนาหน่วยตัวเอง

“วันหนึ่งที่ผมมาเป็นผู้นำแล้ว ถ้าผมไม่ทำ คือ ผมแย่ ผมไม่รักองค์กร” เจ้าตัวว่า

คราวนั้น เขามองลึกไปถึงเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายและยืนยันว่า ให้ความสำคัญกับระดับกองบัญชาการ เพราะปัจจุบันต้องเป็นหลัก เป็นฟันเฟืองตัวใหญ่ ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นซีอีโอ เป็นผู้บริหาร เหมือนเจ้าของบริษัท รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คือ รองผู้บริหาร ผู้บัญชาการ คือ ผู้จัดการ เมื่อบริษัท คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำหนดนโยบายการทำงาน สิ้นปีประเมินออกมา หรือ 6 เดือน ประเมินว่า กองบัญชาการไหน ผ่านหรือไม่ผ่าน ทำงานไม่เข้าเป้า

“ผมดูด้วยสายตาก็รู้แล้ว ผมโตมาจากหน่วยปฏิบัติ ผมก็ต้องรู้ ใครจะมาโกหกผม ไม่มีทาง เพราะผมรู้ตัวหมด ผมดูเองอยู่แล้ว ยิ่งงานสืบสวนแต่ละกองบัญชาการ ผู้การสืบสวน ผมต้องดูทุกเรื่อง ทุกกองบัญชาการ ถ้าผมเลือกได้ ผมจะเลือกทุกกองบัญชาการ 1-9  มีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติช่วยอีกแรง” พล.ต.อ.จักรทิพย์หมายมั่งให้เป็นอย่างนั้น

แต่ด้วยปัจจัยจาก “อำนาจนอกรั้ว” บางทีการเปลี่ยนแปลงจึงยากที่จะสมเจตนารมณ์

กระทั่งเที่ยวนี้ “อำนาจผลัดใบ” มาอยู่ในอุ้งมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ขอมานั่งหัวโต๊ะเป็นประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ เปิดโอกาสให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ขยับจัดทัพวางขุมกำลังได้เต็มที่

โดยเฉพาะ “หัวเรือนักสืบ” ที่จะประคับประคองนาวาไม่ให้ล่มปากอ่าว

เริ่มตั้งแต่เมืองหลวง ดัน พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 43 ลูกน้องในคาถาที่อยู่เบื้องหลังคลี่คลายปมคดีสำคัญพลาดตกรถไฟมาหลายขบวน ระลอกนี้ขึ้นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล

ปรับเอา พ.ต.อ.สันติ ชัยนิรามัย รองผู้บังคับการปราบปราม นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 48 มือทำงานเก่าของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ตำนานมือปราบ ข้ามห้วยมานั่งเก้าอี้ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลแทน

ขณะที่ พล.ต.ต.สุภธีร์ บุญครอง นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 37 ยังได้รับการวางตัวคุมทัพเป็นผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 เหมือนเดิมจากผลการขับเคลื่อนเนื้องานโบแดงในเขตรับผิดชอบอย่างไม่มีข้อบกพร่อง

ส่วน พล.ต.ต.ณพวัฒน์ อารยางกูร ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 42 ได้เวลาขยับขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2   เปิดทางให้ พ.ต.อ.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 เพื่อนนักเรียนนายร้อยตำรวจร่วมรุ่นเลื่อนไปทำหน้าที่คุมทีมแทน

ขณะที่ พล.ต.ต.ปภัชเดช เกตุพันธุ์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 37 ย้ายเป็นผู้บังคับการตำรวจรถไฟ มี พ.ต.อ.ปวริศ บุญสุทธิ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ขึ้นสวมบทหัวเรือนักสืบอีสานใต้ เช่นเดียวกับ พล.ต.ต.มาโนช สุภาพพูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36 แทน พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ ที่เข้าไปเป็นผู้บังคับการกองอุทธรณ์

ภาคเหนือ พล.ต.ต.สุรพล เปรมบุตร ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5   นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 41 ขึ้นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เปลี่ยนมือให้ พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี ผู้บังคับการประจำตำรวจภูธรภาค 6 เพื่อนนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 41 คุมทัพ  มี พ.ต.อ.กานตพงศ์ ชัยรุ่งเรือง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสิงห์บุรี อีกนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 41 ได้รับความไว้วางใจเป็นผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 6 แทน พล.ต.ต.ปริญญา วิศิษฐฎากุล นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36 ที่คืนถิ่นเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก

พล.ต.ต.พงศ์อานันต์ คล้ายคลึง ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 39 ถูกหยิบกลับถิ่นเกิดเป็นผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 แทน พล.ต.ต.สงวน โรงสะอาด นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36 ที่เกษียณอายุราชการก่อนเพื่อนในรุ่น พร้อม พล.ต.ต.ชินรัตน์ ฤทธาคณานนท์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 8 และ พล.ต.ต.สมชาย รักเสนาะ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 9

แล้วไว้วางใจเอา พล.ต.ต.ภิญโญ หวลกสินธุ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยโสธร พล.ต.ต.ศุภวัฒน์ ทับเคลียว ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสตูล คู่นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36  ไปคุมพื้นที่ภาค 8 และภาค 9 แทน  มี พล.ต.ต.สมเกียรติ ฤทธิ์เลื่อน นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 35 ยังได้เป็นผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนจังหวัดชายแดนใต้ตามเดิม

เหล่านี้ล้วนเป็น “กัปตัน” บน “นาวานักสืบ” ที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สิทธิจัดกระบวนเองตามความฝัน

น่าสนใจตรง “ทัพนายกอง” ทำหน้าที่ห้องเครื่องคิวถัดไปที่ ผิดฝา-ผิดตัว เล่นบท “ปลาผิดน้ำ” มากว่า 5 ปี

หากขยี้ไพ่สลับจัดใหม่ให้ “ถูกตัว” คงบำรุงขวัญกำลังให้เหล่านักสืบมีแรงเดินหน้าทุ่มเททำงานถนัดอย่างไม่ต้องสงสัย

 

RELATED ARTICLES