ชีวิตของนักสืบ

ชีวิตนักสืบสมัยก่อนต้องกินนอนอยู่กับกอง ถึงท้องร้องก็ไม่เคยบ่น มุ่งแสวงหา “เนื้องาน” มากกว่า “ก้อนเงินนอกระบบ” ที่มีอยู่เกลื่อนเมือง

ว่ากันว่า ยุครุ่งเรืองของตำรวจนักสืบเกิดขึ้นจาก “ตำนานสืบสวนนครบาลเหนือ-ใต้และธนบุรี” ที่เต็มไปด้วยบุคลากรฝีมือดีพาคนร้ายเข็ดขยาด

ชื่อชั้นติดทำเนียบมือปราบเป็นที่ยอมรับในสังคม

  ไม่ต้องอาศัยประโคมข่าวสร้างภาพปั้นฉากให้ตัวเองเป็นพระเอก แต่ “ตาขาว” เล่าเรื่องราวโกหกบังตาชาวบ้าน

ถึงกระนั้นหลายครอบครัวนักสืบต้องเผชิญภาวะ “บ้านแตก” เพียงเพราะต้องการแลกแฟ้มผลงานชิ้นโบแดง แสดงบทปราบปรามเหล่าวายร้ายเพื่อให้สุจริตชนคนเมืองกรุงนอนหลับ

ไม่มีใครบอกได้ว่า พวกเขาจะไปเฝ้าเป้าหมายได้ตัวภายในกี่วัน

ไม่มีใครบอกได้ว่า พวกเขาออกจากบ้านไปวันนั้นจะต้องปะทะกับเป้าหมายหรือไม่

ไม่มีใครบอกได้อีกเหมือนกันว่า พวกเขาจะได้โอกาสกลับมาบ้านคืนสู่อ้อมกอดของเมียและลูกไหม

มันเป็นชีวิตนักสืบที่แลกด้วยการเสียสละความสุขส่วนตัวและครอบครัว

โชคดีที่ได้ผู้บังคับบัญชาเข้าใจ มีเมตตาธรรมให้คุณงามความดีความชอบ ได้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งที่ถนัดสมความสามารถ

กลายเป็น “เบ้าหลอม” เตรียมสร้างทายาทรุ่นต่อไป

แต่แล้วเข็มนาฬิกาพัดพาเวลาหมุนไม่นาน “นักสืบพันธุ์ดี” เริ่มอันตรธานหายไปจากสำนักปทุมวัน ในวันที่ผลงานไม่มีความหมายเท่า “น้ำลายสอพลอ” และแต้มต่อของ “เนื้อเงิน”

หลายชีวิตต้องเผชิญ “วิบากกรรม” ที่ส่งผลกระทบมาจากการแต่งตั้งโยกย้ายทำลายขวัญกำลังใจกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง

ไร้ “ผู้เป็นนาย” ช่วยคัดท้ายหางเสือ

เหลือทิ้งไว้แต่ภาพความทรงจำเสมือนนิทานปรัมปรายากหา “ม้าขาว” มาช่วยสานภารกิจนักสืบต่อ

หลายคนท้อถอดใจไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร ในเมื่อ “ผู้เป็นนาย”ไม่เห็นค่า เพราะไม่มีโอกาสไปเสนอหน้าเอาอกเอาใจ

จะมีสักกี่คนอดทนไม่สนความเจริญก้าวหน้า บ้างาน “กอดอุดมการณ์นักสืบ” ไว้อัดแน่นเต็มหยักสมอง ด้วยความหวังว่า สักวันจะมี “ผู้เป็นนาย” เฉี่ยวกายมามองเห็น

บ้างก็ว่า ฟ้าใหม่สะอาดใส ไร้เงา “มารขาว-มารดำ” ชะตากรรมของ “นักสืบพันธุ์ดี” ควรมีโอกาสลืมตาอ้าปาก ไม่ต้องลำบากคลำทางผิด

สุดท้ายการจะล้างผลผลิตที่เกิดจาก “พิษวิปริตผิดฝา” คงต้องขึ้นอยู่กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา แม่ทัพสีกากีจะตี “ตราประทับ” ได้มากน้อยเพียงใด

ชีวิตของนักสืบกำลังขึ้นอยู่กับ “บิ๊กแป๊ะ” คนเดียว

RELATED ARTICLES