ทุกคนกำลังหวาดผวาวายร้ายไวรัสจากโควิด-19
หลายมาตรการที่รัฐบาลออกกฎมาเพื่อบังคับใช้ไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายลุกลามไปมากกว่านี้เป็นเรื่องที่ห้ามปฏิเสธ
วินัยของคนไทยต่างหากที่ต้องแก้และยอมรับกับความเปลี่ยนแปลง
ไม่ใช่สักแต่จะตะแบงท้าทาย ทำตามใจตัวเอง และดื้อรั้น
แต่ที่น่าเห็นใจมากสุด คือ เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่นอกจากควบคุมมหันตภัยร้ายนี้แล้ว ยังต้องดูแลตัวเอง
มีข้อเขียนของ พ.ต.ท.สุริยา แป้นเกิด พนักงานสอบสวนคนดังฝากเป็นแง่คิด
โควิดกับอาการวิตกจริตจิตป่วน
ทว่ากระบวนการของตำรวจยังคงทำงานท่ามกลางความเสี่ยงต่อไป
นายพันตำรวจโทหนุ่มเปิดประเด็นว่า “ตั้งด่านล่อเชื้อ ทำไปเพื่ออะไร”
ในเมื่อมีการรณรงค์ให้คนอยู่ห่างกัน เพื่อลดการเดินทางของโรค แต่เอาตำรวจและเจ้าหน้าที่ มาอยู่ใกล้เพื่อตั้งด่านคัดกรองโรค
เพื่อวัดไข้
คัดกรองสอบสวนหาโรค ไม่ใช่หน้าที่ตำรวจ
พ.ต.ท.สุริยาบอกว่า สอบสวนหาโรค ไม่ใช่การสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
คนติดเชื้อโควิด บางคนไม่มีไข้
คนเป็นไข้ ก็ใช่ว่าจะติดเชื้อโควิด
“แล้ว เราจะวัดไข้เพื่ออะไร” พ.ต.ท.สุริยาตั้งกระทู้ร้อน “เพื่อสอบสวนหาโรคหรือ”
มันไม่ใช่…. คนเป็นไข้สูง ก็ยังไม่รู้ว่า เป็นโรคอะไร
แล้วที่พูดคุยกันใกล้ๆ น้ำลายจะกระเซ็น ติดมือ ติดเครื่องมือวัดหรือไม่
แล้วนำไปใช้กับคนต่อมา ไม่รู้ว่า ลมจะพัดเอาเชื้อ หรือไปสัมผัสเครื่องมือติดต่อได้หรือไม่
“หากตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ประจำด่าน ติดเชื้อ จะแพร่เชื้อต่อกับชาวบ้านได้หรือไม่”
เขาแนะนำว่า หน้าที่โดยตรงของตำรวจ ไปจับกุม ผู้ฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินดีกว่า
โดยเฉพาะในข้อ 1 – 6 พวกฝ่าฝืนมีโทษทางอาญา พวกกักตุนสินค้า พวกเปิดผับบาร์ พวกเข้าไปในพื้นที่ห้ามเข้า
เพราะสังคมนิยมชื่นชมที่เบื้องหน้า
หลายคนจึงเสนอหน้า ให้สังคมได้ชื่นชม
ลองทบทวนดู
งานตั้งด่านคัดกรอง มีผลได้หรือผลเสียมากกว่ากัน
เจ้าตัวบอกอีกว่า หาวิธีอื่นได้ไหม มีหนทางอื่นอีกเยอะแยะ..
เราเสียงบประมาณ เสียกำลังพล เสียเวลา ไปเท่าใด เราได้อะไรกลับมาบ้าง
คนติดเชื้อน้อยลงหรือไม่ ???