ฟัดแหลกตำรวจทางหลวง

ทำไปทำมา ทำท่าจะเป็นเรื่องบานปลาย

นักธุรกิจค้าน้ำมันชาวพม่ามอบหมายทนายความพา 2 ลูกน้องที่ถูกจับขณะขนเงินสด 16.5 ล้านบาท เข้าไทยผิดกฎหมายแจ้งความกลับ 7 ตำรวจทางหลวงชุดจับกุม

เอาผิด 3 ข้อหา ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา  

ย้อนเรื่องราวกก่อนหน้าเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 พ.ต.อ.แมน เม่นแย้ม ผู้กำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจทางหลวง พร้อมด้วย พ.ต.ท.ศตวรรษ บุญมี รองผู้กำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจทางหลวง พ.ต.ต.ณัฐกฤต กิ่งชัยภูมิ สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจทางหลวง กับพวก จับกุม นายเดด ไป่อู อายุ 29 ปี และ น.ส.นามิทู อายุ 24 ปี สองผู้ต้องหาชาวเมียนมา

ขณะนั่งรถบรรทุก 6 ล้อ มาสด้า สีขาว ทะเบียน BGO IQ-5686 ขับจากฝั่งประเทศเมียนมา ใช้สะพานข้ามมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ผ่านถนนในหมู่บ้านวังตะเคียน ห่างด่านศุลกากร 200 เมตร ชุดจับกุมแสดงตัวส่งสัญญาณหยุดรถเพื่อตรวจสอบพบลักลอบนำเงินสดเข้ามาจำนวน 16.5 ล้านบาท

ทั้งคู่อ้างเตรียมนำเงินทั้งหมดไปฝากเข้า ธนาคารกสิกร สาขาแม่สอด จังหวัดตาก แต่ไม่สามารถนำเอกสารหรือหลักฐานมายืนยันได้

ทำให้ต้องแจ้งข้อหา “ร่วมกันนำเข้าเงินตราสกุลไทยเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร”

คุมตัวผู้ต้องหาพร้อมเงินสดของกลางสอบสวนต่อสถานีตำรวจทางหลวงแม่สอด จังหวัด ก่อนรายงาน พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สั่งให้มอบผู้ต้องหาและของกลางทั้งหมดส่ง พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผู้กำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม รับดำเนินการสอบสวนขยายผลดำเนินคดี

ขณะเดียวกัน มีนายตำรวจระดับ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดหนึ่ง โทรศัพท์เข้ามาหาชุดจับกุมเพื่อไกล่เกลี่ยขอเคลียร์ไม่ให้ดำเนินคดี แต่ชุดจับกุมไม่ยินยอม เพราะเห็นว่า ผิดกฎหมาย ประกอบกับรายงานผู้บังคับบัญชาไปหมดแล้ว

สถานการณ์เริ่มส่อแววตึงเครียดระหว่าง “เลือดสีกากี” ร่วมสำนักสามพรานด้วยกัน เมื่อมีความพยายามสาดโคลนปรักปรำกล่าวหาตำรวจชุดจับกุมว่า ยอดเงินล้านหายไปบางส่วน

สุดท้าย นายอนันตชัย ไชยเดช ทนายความ พร้อม นายจ่อเฮง อายุ 48 ปี นักธุรกิจค้าน้ำมัน จังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมา โผล่มาแสดงตัวเป็นเจ้าของเงิน เข้าแจ้งความ  พ.ต.ท.จิรศักดิ์ ศรีธรรม รองผู้กำกับการ (สอบสวน) สถานีตำรวจภูธรแม่สอด จังหวัดตาก

เดินเครื่องลุยเอาผิด พ.ต.อ.แมน แม่นแย้ม พ.ต.ท.ศตวรรษ บุญมี พ.ต.ท.ณัฐพล ผ่องสุขสกุล พ.ต.ต.ณัฐกฤต กึ่งชัยภูมิ ด.ต.มงคล ธุระ ด.ต.พีระพงษ์ พรมดี และ ส.ต.อ.ภูวดล ศรีจันทร์  ชุดจับกุม ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

ระบุด้วยว่า การกระทำของตำรวจกลุ่มนี้กระทบต่อความสัมพันธ์การค้าชายแดน ทำให้การค้าระหว่างไทย-เมียนมาต้องเสียหาย  

ทนายความคนดังผู้รับมอบอำนาจยืนกรานว่า ตำรวจทางหลวงชุดจับกุมไม่ได้ทำตามระเบียบ เมื่อจับกุมแล้วไม่ได้นำตัวผู้ต้องหาส่งมอบให้พนักงานสอบสวนในท้องที่ทันที กลับนำผู้ต้องหาไปที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงแม่สอดแทน

“ไม่ได้แจ้งสิทธิ์ผู้ต้องหา ไม่ให้ติดต่อพบญาติ คนใกล้ชิด ทนายความ โดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่ให้ใบบันทึกจับกุม ปิดประตูตู้ยามห้ามใครเข้าออก”  

เมื่อนับเงินเสร็จในเวลาเที่ยงคืน นายอนันตชัยว่า ตำรวจแจ้งกับ 2 ผู้ต้องหาจะพาไปยังโรงพักแม่สอด แต่กลับพาไปที่สถานีตำรวจทางหลวงแทน จัดโต๊ะตั้งเงินของกลางให้ผู้ต้องหา ยืนถ่ายรูปกับตำรวจ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ต้องหาและไม่ปิดบังใบหน้า ก่อนส่งไปยังกองบังคับการกองปราบปรามเช้าวันรุ่งขึ้น

การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ข้อหาหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา เนื่องจากถ่ายภาพผู้ต้องหาไปเผยแพร่

งัดข้อกฎหมาย “ชนแหลก”ตำรวจทางหลวงชุดยึดเงิน 16.5 ล้านบาท

แม้ พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางจะแสดงความเห็นว่า การจับกุมของตำรวจทางหลวงเป็นไปตามอำนาจกฎหมาย เนื่องจากระหว่างการจับกุมชาวพม่าทั้ง 2 คนไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาของเงินได้ รวมทั้งยังผ่านด่านตรวจโดยไม่ได้สำแดงต่อศุลกากร

ถึงกระนั้น ทนายฝีปากกล้าฝากบอกผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางไว้ว่า อย่าเชื่อลูกน้องมาก ใช้กฎหมายเล่มเดียวกัน มีอำนาจไม่เถียง แต่ต้องทำตามกฎหมาย    

หมากเกมนี้เดิมพันกันยาว

 

 

 

 

 

RELATED ARTICLES