สถานการณ์เชื้อหวัดมรณะโควิด-19 ลุกลามกระจายไปทั่ว
มีผลกระทบเกิดขึ้นกับสังคมเป็นวงกว้างกระเทือนสภาพเศรษฐกิจโดยรวมจากการหยุดงาน เลิกจ้าง ผู้คนขาดรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ
แม้แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเองยังจำเป็นต้อง “รัดเข็มขัด” ตัดงบประมาณหลวง 657 ล้านบาทคืนให้รัฐบาลนำไปกู้ภัยเชื้อโรคให้ผ่านพ้นวิกฤติไปในเวลาอันรวดเร็ว
ทว่าตำรวจไม่อาจทิ้งหน้าที่และจิตวิญญาณความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงทำโครงการ “รับอาหารฟรีครับ” สั่งการให้ตำรวจทุกจังหวัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ดำเนินกิจกรรมในลักษณะของการตั้งเป็น “โรงทาน” ในพื้นที่เหมาะสมและเข้าถึงประชาชนที่เดือดร้อนได้โดยง่าย เพื่อแจกจ่าย อาหาร น้ำดื่ม และสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ขั้นตอนการแจกจ่ายอาหารและสิ่งของจะต้องดำเนินการโดยเหมาะสมและเป็นไปตามมาตรฐานด้านสุขอนามัย อาทิ มีการจัดระยะห่างที่เหมาะสม การตรวจวัดไข้ การบริการล้างมือโดยแอลกอฮอล์ เป็นต้น
มอบหมายให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขับเคลื่อนผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1-9 และผู้บังคับการตำรวจภูธรทุกจังหวัดทั่วประเทศดำเนินการตามโครงการ
กำชับให้ตำรวจทุกนาย “อยู่เคียงข้างประชาชนในยามลำบาก ไม่ทอดทิ้งประชาชน”
ชูสโลแกน “เราไม่ทิ้งกัน ตำรวจไม่ทิ้งคุณ”
มี ดร.บุษบา ชัยจินดา นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ นำทัพแม่บ้านตำรวจสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอีกแรง
ทั้งนี้ทั้งนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ควักกระเป๋ามอบ “เงินขวัญถุง” ประเดิมโครงการให้ตำรวจทุกจังหวัดทั่วประเทศพื้นที่ละ 50,000 บาท
เริ่มต้นปันเป็นอาหารเย็นแจกจ่ายให้ประชาชนที่เดือดร้อนพร้อมกันทั่วประเทศแล้ว
หลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของทุกสถานีตำรวจต้องไปสานต่อกิจกรรมร่วมกับผู้มีจิตศรัทธาในพื้นที่เพื่อให้ดำเนินโครงการไปอย่างต่อเนื่องจนกว่าประเทศไทยจะผ่านวิกฤติเหตุการณ์โรคระบาดครั้งนี้ไปด้วยกัน
ส่วนผู้มีจิตศรัทธาในพื้นที่ที่ทุกโรงพักรวมถึงทุกกองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9 กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดย่อมรู้จักกันดีว่า ใครพอมีกำลังพอจะเข้ามา “ปันน้ำใจ” ช่วยเหลือชาวบ้านผู้เดือดร้อนจากผลกระทบและด้อยโอกาสเนื่องจากขาดรายได้
สามารถติดต่อได้โดยตรงที่สถานีตำรวจทุกแห่งทั่วประเทศ
สำคัญสุดคือ ตำรวจจะต้องไม่ไปบังคับ หรือสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ประกอบการภาคเอกชนเหล่านั้นที่จะมาทำกิจกรรมร่วมกัน
เสมือนได้เวลา “คืนกำไร” สู่สังคม
หวังว่า องค์กรตำรวจจะได้รับเสียงชื่นชมตามมา
ไม่ใช่แค่ว่า “สร้างภาพ” ฝ่าวงล้อมกู้วิกฤติ แล้วทิ้งชีวิตผู้ปฏิบัติอยู่ในสภาพ ปากร้อง ท้องกิ่ว หิวกระหาย
พวกเขากำลังใกล้อดตาย เพราะนาย (บางคน)เอาน้ำลายแลกหน้าตาตัวเอง