“ผมไม่เก่ง ลูกน้องผมเก่ง จ่าบางคน ผมยังเรียกอาจารย์”

คร่ำหวอดอยู่ในวงการนักสืบมาตั้งแต่ดำรงตำแหน่งรองสารวัตร

พล.ต.อ.ชาญ รัตนธรรม อดีตนายตำรวจนักสืบมือปราบมาดสุขุม เกิดที่จังหวัดตราด เข้ากรุงเทพฯมาตั้งแต่เด็ก เมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ได้หันหัวเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่น 6 เลือกเหล่าตำรวจไปบรรจุลงตำแหน่งรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง พร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่น “ธนู หอมหวล”

พล.ต.ท.วิเชียร แสงแก้ว สมัยนั้นเป็นผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือ คนแรกเห็นแววนักสืบจึงดึงเข้าไปทำงานเป็นสารวัตรประจำกองสืบ อยู่ได้ 2 ปีขยับกลับไปเป็นสารวัตรใหญ่โรงพักพระราชวัง และชนะสงครามในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 16 ตามคำสั่งของ พล.ต.ท.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจและพล.ต.ท.ณรงค์ มหานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลที่อยากให้ไปช่วยงานสอบสวน

อยู่โรงพักชนะสงครามนาน 6ปี ถึงเลื่อนขึ้นเป็นรองผู้กำกับการนครบาล 2 ยุคที่ พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ เป็นผู้กำกับ แต่ยังคงทำหน้าที่รักษาการสารวัตรใหญ่ชนะสงครามอยู่ กระทั่งขยับเป็น “ผู้กำกับสืบสวนเหนือ” มี พล.ต.ท.ธนู หอมหวล เพื่อนรักร่วมรุ่นเป็น “ผู้กำกับสืบสวนใต้” เปิดตำนานสิงห์เหนือ เสือใต้ “คู่แรก” ของมือปราบเมืองกรุง

ขึ้น รองผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ ก่อนเป็นผู้บังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ข้ามห้วยเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 คุมพื้นที่ภาคใต้ นานกระทั่งขึ้นนั่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 แล้วถึงเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ และรองอธิบดีกรมตำรวจจนเกษียณอายุราชการเมื่อปี 40

“ผมทำงานสืบสวนมาตลอด ทำตั้งแต่เป็นรองสารวัตรสืบสวนสอบสวนโรงพักพระราชวัง สมัยนั้นงานสืบกับสอบไปคู่กัน ผู้ใหญ่เห็นผมเหมาะกับการสืบสวนเลยดึงไปอยู่ที่สืบสวนเหนือ เป็นยุคแรก ๆ ของกองสืบ มีคดีเกิดขึ้นมากมาย ทำงานกันสนุก” พล.ต.อ.ชาญเริ่มต้นเล่าประวัติชีวิตนักสืบ

“มีอยู่ครั้ง ผมได้รับคำสั่งให้ไปตามล่าเสือปุ้ย เชื้อบางยาง ดาวปล้นฆ่าจากภูธร เป็นขุนโจรหลายจังหวัด หัวหน้าของตี๋ใหญ่ มันใช้เรือหางยาวเข้ามาปล้นร้านทองที่ตลาดพูล ท่านมนต์ชัย เป็นผู้การเหนือ ให้ท่านณรงค์ มหานนท์ คุมการสืบสวน ตั้งคณะทำงานที่มีผมเป็นสารวัตร ผมตามมันอยู่นานไปถึงประจวบคีรีขันธ์ มันเก่งตามจับมันยาก เพราะมันเอามวลชนเป็นพวก ไม่ค่อยได้ข่าวมัน”

ทีมตำรวจนักสืบเมืองหลวงต้องอาศัยนอนกลางหาดทราย หาผลไม้กินประทังความหิว พล.ต.อ.ชาญบอกว่า กว่าจะได้ข่าวมันต้องใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง เมื่อมันเอามวลชนจากชาวบ้านได้ เราก็ต้องหามวลชน หาสายมาเป็นพวก สุดท้ายไปตามจับได้ที่ปราณบุรี มันบอกเคล็ดลับว่า เวลาปล้นทรัพย์สินมาก็จะแจกชาวบ้าน ทำบุญให้พระ ทำมวลชน เวลาไปนอนที่ไหนจะเลี้ยงม้าไว้ 1 ตัว ให้ฟางแช่น้ำผึ้ง มันกิน เพอมีคนเข้ามาใกล้ม้ามันจะร้องเตือนเสียงดังเพราะได้กลิ่นไกล แต่มันก็เสร็จเราเพราะสายลับ คดีนี้เป็นคดีดังมาก เพราะเสือปุ้ยออกอาละวาดปล้นฆ่าแทบทุกเดือน ภายหลัง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สั่งประหารชีวิต

อีกคดีเป็นคนร้ายจับนางนงนุช ตันสัจจา สาวใหญ่นักธุรกิจที่ดินไปเรียกค่าไถ่ที่สัตหีบ แล้วตอนหลังมาจับ ด.ญ.กรองใจ ลูกเจ้าของร้านขายนกบ้านอยู่แถวบางเขน พล.ต.อ.ชาญ นำทีมสืบสวนเหนือคลี่คลายจับกุมคนร้ายไว้ได้และสามารถช่วยเหลือเหยื่อออกมาได้อย่างปลอดภัย คนร้ายเป็นชุดเดียวกับที่จับนางนงนุช เรียกค่าไถ่ ขณะที่มีแก๊งจับหลาน นพ.ชัยยุทธ กรรณสูตไปเรียกค่าไถ่ ตำรวจชุดสืบสวนเหนือก็ตามแกะรอยรวบตัวได้หมด

“ช่วงนั้นแก๊งเรียกค่าไถ่เยอะมาก คนมีเงินมีทองโดนหมด คุณบัญชา ล่ำซำเจ้าของธนาคารยังโดนขู่เอาเงิน นักธุรกิจหลายคนระแวงและหวาดกลัวกันไปหมด ต้องหาคนติดตาม เป็นแก๊งโจรตั้งขึ้นมาเองรวมกับกลุ่มโจรเก่า ๆ ที่เปลี่ยนวิธีการจากปล้นมเรียกค่าไถ่ ข่มขู่รีดเงิน คนไหนกลัวก็ให้ แต่หลังจากที่พวกผมจับโจร 2 ชุดนี้ได้ ก็หยุดไปเลย ผมทำงานด้านนี้มาตลอด แข่งกับธนูที่อยู่สืบสวนใต้ คุยแหย่เล่นกันสนุกไม่มีอิจฉาริษยากัน ลูกน้องก็มี ทวี ทิพยรัตน์ เขตต์ นิ่มสมบุญ สมคิด บุญถนอม สิทธิพร โนนจุ้ย ล้วนเป็นมือดีทั้งนั้น” 

ครั้งหนึ่ง พล.ต.อ.ชาญเคยเฉียดตายมาแล้ว สมัยดำรงตำแหน่งสารวัตรใหญ่โรงพักชนะสงคราม ในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ “ผมยืนอยู่กับลูกน้องเป็นคนขับรถชื่อพลสาโรจน์ อธิบดีแสวง ธีระสวัสดิ์ ตอนนั้นเป็นรองผู้กำกับ 2 ยืนอยู่ข้างกัน มีคนยิงใส่พวกผม ปรากฏว่าลูกน้องผมตาย อธิบดีแสวงก็ถูกยิงเข้าโรงพยาบาล ผมอยู่ตรงกลางกลับไม่โดน มันทำให้ผมรู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร แต่ทำไมไม่มีใครออกมาพูดกัน”

“ใครโกหกผมรู้ อยู่มาตั้งแต่ต้น ผมจับได้ 11 คนที่ยิงโรงพักพรุนไปหมด กลุ่มคนยิง ผมส่งให้ทหารกองทัพภาค 1 แต่เอาไปไหนกันไม่รู้ ผมว่า มันลึกมาก ควรพูดความจริงกันเสียที ผมไม่เคยเอาหน้า ผมอยู่ในพื้นที่ตลอดตั้งแต่ชุมนุมวันแรก 5 ตุลาคม แม้ขณะนี้เป็นนักเมืองฝั่งซ้าย ฝั่งขวา ผมยังรู้จัก เหตุการณ์ครั้งนั้นมันยิงซ้ายที ขวาที นักศึกษาเป็นเบี้ย เป็นหมากรุก เจ้าของกระดานเป็นอีกคน พูดกันตรง ๆ ซีไอเอนั่นแหละ นักศึกษาไม่ทัน ขบวนการของซีไอเอมันลึกซึ้ง ผมทำงานการข่าวมาก่อน เรียกการข่าว เรียนข่าวลับ เอาง่าย ๆ ผมเป็นซีไอเอมาก่อน แต่พูดมากก็จะเสีย” อดีตนักสืบรุ่นเก๋าบอก

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ตอนลงไปทำงานอยู่พื้นที่ภาคใต้ พล.ต.อ.ชาญถึงประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับของคนพื้นที่  “ช่วงลงใต้เจอปัญหาหนักมาก กำลังรุนแรง รถวิ่งไม่ได้ มีโจร 3 กลุ่ม คือ โจรจีนคอมมิวนิสต์ หรือ จคม. ขบวนการโจรก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน หรือ ขจก. และผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ หรือ ผกค. แบ่งเขตอิทธิพลตั้งแต่ชุมพรลงไปถึงนราธิวาส ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายปราบปราม เห็น พ.ต.ท.อดิศักดิ์ ทองสีนุ่น ยิงตายต่อหน้าต่อตา ผู้ใหญ่มองผมมาจากสายสืบสวนถึงให้ผมเป็นผู้บัญชาการเฉพาะกิจ ผมไม่ใช่คนใต้ แต่เป็นเรื่องที่ต้องใช้ศิลปะการบริหารงาน ผมพูดใต้ยังไม่เป็นเลย แต่ผมต้องใช้คนที่นั่น”

“ผมเป็นนายพลลงไปนอนกันในพื้นที่ นำกำลังไปเอง ทำให้สร้างความเชื่อถือกับลูกน้องพอสมควร เขาไม่เคยเห็นมีนายพลตำรวจลงไปขนาดนั้น อย่างแก๊งโจรเรียกค่าคุ้มครองตระกูล เส้งเอียด  ทั้งเอียด เส้งเอียด หรือไข่หมูก เส้งเอียด ผมใช้เวลา 8 เดือนเต็มปราบปรามและยิงตายไปหลายคน สมัยนั้นที่ดินภาคใต้ราคาไม่มีเลย เพราะกลัวพวกมัน ตอนหลังไอ้ไข่หมูกหนีเข้าป่า ผมต้องตัดสินใจให้สายลับพาไปคุยกับหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ แม่ทัพภาคที่เป็นรุ่นพี่ จปร.ยังด่าผมเลยว่า เข้าไปได้อย่างไร ถ้าถูกยิงตายมาจะทำยังไง แต่ผมไม่มีทางเลือก ผมก็ต้องเสี่ยง กลัวตายนะ ต้องคุยกับหัวหน้าคอมมิวนิสต์ อธิบายว่า โจรพวกนั้นทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน เรียกค่าไถ่ ค่าคุ้มครอง อย่าให้พวกมันเข้ามาเลย เขาก็ยอม เพราะไม่ใช่อุดมการณ์เขาอยู่แล้ว”

อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ที่เคยเข้าไปแก้ปัญหาภาคใต้บอกว่า การจะลงไปทำงาน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องศึกษาประวัติศาตร์ ศึกษาคนในพื้นที่ “ผมลงทุนเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อทำความรู้จักลูกศิษย์แล้วโยงไปถึงพ่อของเขาที่เป็นโต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม โยงถึงญาติเขาที่เป็นกำนันผู้ใหญ่บ้าน ทำให้เขาฆ่าไก่ให้เรากินได้ ถ้าไม่จริงใจ เขาจะไม่ให้อะไรเราเลย ขณะนี้ผมยังมีลูกน้องอยู่ที่นั่น ห่วงอยู่เหมือนกัน ตำรวจเก่า ๆ ก็อย่าไปดูถูกเขา เขาเก่งกว่า ผมยอมรับว่า ผมไม่เก่ง ลูกน้องผมเก่ง คนไหนเกเรผมยังเอามาใช้ ใช้ได้ดีด้วย เรียกว่าขี่ม้าพยศ ที่แก้ได้เพราะความร่วมมือหลายฝ่าย”

“ถามว่าทำไมตอนนี้กลับมาลุกลาม ก็เพราะปล่อยปละละเลย ผมเคยทำบัญชีนักศึกษาภาคใต้ไปเรียนที่ลิเบียกับซีเรีย จำนวน 514 คน เพราะเราต้องรู้ว่าใครคือใคร ตัวบุคคลสำคัญ ใครเป็นหัวหน้า ต้องรู้จักพ่อแม่พี่น้องเขา แต่ให้หมดไม่มีทาง มันเป็นมาตั้ง 100กว่าปีแล้ว อย่าให้ขึ้นมาฆ่ากัน อยู่ร่วมกันได้ก็พอ  สมัยนี้ ออกข่าวก่อนแล้วจะไปทำอะไรได้ มีแผนอย่างนั้นอย่างนี้ ภาคใต้ถึงแก้ไม่สำเร็จหรอกครับ สมานฉันท์ คนที่นั่นฟังยังหัวเราะ สมานกับใคร สมานกับฉันกับตัวเองหรือ” พล.ต.อ.ชาญกล่าวน้ำเสียงจริงจัง

“ผมอยู่ภาคใต้มาร่วม10 ปี เพื่อน ๆ ถามอยู่ได้ยังไง ทำไมไม่มีเรื่อง ผมตอบว่าต้องให้เขาด่าแม่ได้ ก็อยู่ได้ ให้เขาเห็นหน้าแล้วด่า “เย็ดแม่ นายหัว หายไปนานไม่มาเลย” เป็นอย่างนี้จริง ๆ นะ เขาคิดถึงเรา เห็นหน้าต้องด่าแม่ได้ นั่นคือเขาไว้ใจ ผมเด็ดขาด แต่ต้องมีเหตุผล ผมไม่ใช่คนกระด้าง ความเด็ดขาดก็ต้องมี เหมือนสมัยคดี หมอดิง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มัสยิดกรือเซะ มีคนชุมนุมเป็นแสน ผมบอกผู้ว่าฯปัตตานีให้เฉย ๆ ผมจัดการเอง ผมไม่จับ แต่ถ่ายรูปเก็บไว้ รัฐมนตรีมหาดไทยตอนนั้นโวยผมว่า ทำไมไม่จับ ผมบอกจับไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีแผ่นดินอยู่นะ ถ้าจะให้จับ อย่างนั้นผมขอย้าย ผมมีศักดิ์ศรี แต่แม่ทัพภาค 4 เป็นรุ่นพี่ผมก็ไม่ยอมให้ผมย้าย เพราะให้อำนาจผมเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์”

ผลสุดท้ายรู้ถึง พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี ท่านบอกกับ พล.ต.อ.ชาญว่า “ถ้าจะย้ายลื้อ ต้องย้ายรัฐมนตรีมหาดไทยก่อน”  วันต่อมา พล.ต.อ.ชาญได้เรียกประชุมโต๊ะครู โต๊ะอิหม่ามที่ไปร่วมชุมนุมถามแนวคิดว่า สิ่งที่หมอดิงทำไปถูกหรือผิด พวกเขาลงมติว่าผิด ศาสนาไม่ได้สอนให้ทำแบบนั้น “ผมถึงออกหมายจับแล้วตามไปจับ ขืนจับวันนั้นเป็นเรื่องแน่ ถือเป็นศิลปะในการทำงาน ต้องเป็นทั้งนักปกครอง นักบู๊ นักจิตวิทยา บางครั้งบางเรื่องทำผิดนิดหน่อยอย่าไปเอาเขา เสียมวลชน มีอยู่ช่วงผมทำมวลชนสัมพันธ์ กำนันอายุมากแล้วแจ้งความของหาย ร้อยเวรเป็นตำรวจใหม่มาจากกรุงเทพฯถามว่า ลุงเอาบัตรประชาชนมาหรือไม่ กำนันแกบอกไม่มี ตามสำเนียงภาษาเขา ไอ้ตำรวจนั่นดันบอกว่า แอ๊ะลุงไม่มีได้ไง วัวควายยังมีตั๋วรูปพรรณเลย เท่านั้นแหละมวลชนพังหมด ขนาดผมทำมาหลายปี วันเดียวยังพังเลย แล้วตอนนี้มีแต่คนพูดทำมวลชน แล้วทำยังไงล่ะ ถ้าไม่ศึกษาทำไม่ได้แน่ เห็นมั้ย ไม่สำเร็จซักอย่าง ทุกคนรู้หมด ทหารก็ยอมรับว่าข่าวไม่ดี แล้วทำไมไม่ทำข่าวให้มันดี”

“เขาเรียกข่าวลับ ผมทำงานด้านนี้มา เช่น คดีเจ้าหน้าที่ทูตซาอุฯ ที่ถูกฆ่า จริง ๆเป็นทีมสังหารจากอิหร่าน ยิงแล้วบินกลับไปเลย ผมเป็นประธานสอบ บังเอิญที่ผมอยู่ภาคใต้มาก่อน ทำให้รู้ขบวนการโยงบินลาดิน ซึ่งเป็นคนซาอุฯ ไปอยู่ในอิหร่าน ต้องศึกษาประติดประต่อทำจิก๊ซอว์ ทำไมถึงยิง ชนวนเดิมมาจากประเทศซาอุฯ จัดพิธีฮัจน์ แล้วคนอินหร่านไปถูกยิงตายจึงเกิดความแค้น ตั้งขบวนการคิลเลอร์ทีมที่อิหราน บินลาดินเป็นเศรษฐีซาอุฯ อยู่ด้วย จัดทีมสังหารเจ้าหน้าที่ทูตซาอุฯในหลายประเทศ ไม่ใช่เฉพาะที่เมืองไทย แต่เจ้าหน้าที่ของเราไปทำอะไรกันไม่รู้”

นายพลตำรวจนักสืบมากประสบการณ์บอกว่า ความจริงเรื่องสังหารทูตซาอุดิอาระเบียมันยุติไปแล้ว แต่ก็ถือเป็นบทเรียนสำคัญของตำรวจไทยถึงการทำงานแบบเร่งรีบแล้วมันจะเสีย “ผมไม่ใช่คนใจเย็น แต่ไม่เคยเอาหน้าว่าผมเก่ง ผมไม่เก่ง ลูกน้องผมเก่ง จ่าบางคน ผมยังเรียกอาจารย์ ผมไม่เคยไปออกข่าวก่อนจับ แต่สมัยนี้นักสืบขาดการสนับสนุน ไปสนันสนุนพวกบรรยายเก่ง พูดเก่ง แต่พวกทำงาน พูดไม่เป็นไม่ได้ดิบได้ดี  นักสืบทั้งหลายทั้งปวง บุคคลที่จะเป็นได้เท่าที่ศึกษาจากสหรัฐอเมริกา หรืออังกฤษ ต้องมีคุณสมบัติพิเศษ คนขี้คุยทำไม่ได้ อยากใหญ่อยากโตทำไม่ได้”

“การสืบสวนฟังแล้วอย่าเชื่อเลย เขาถือมาก ต้องดับเบิลเช็ก เอาให้แน่นอน ตรวจสอบให้ชัดเจน รอบคอบ อย่ามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ สงสัยแล้วค่อยเคลียร์ บางครั้งอาจถึงทริบเบิ้ลเช็ก เป็นเคล็ดลับศิลปะของแต่ละคน  เชื่อพวกสอพลอ ชอบรายงานไม่ได้ นักสืบต้องเป็นนักปกครองด้วย จ่ายังเก่งกว่านายพัน ต้องให้เกียรติแก่ผู้ปฏิบัติ  แต่น่าเห็นใจตำรวจยุคนี้กลายเป็นการรับราชการต้องเข้าแถว เข้าแถวถูกก็เจริญ เข้าแถวผิดก็ลงทะเลไปเลย สมัยก่อนไม่นะ ทำดีต้องได้ดี”

อดีตนักสืบใหญ่ฝากไว้เป็นกรณีศึกษา

ชาญ รัตนธรรม !!!  

RELATED ARTICLES