ไม่ว่าใครจะเข้าป้ายปาดหน้าขึ้นนั่งเก้าอี้ “ผู้นำปทุมวัน”
แต่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พิสูจน์ให้เห็นภาพความเป็น “แม่ทัพใหญ่” ตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่ขับเคลื่อนกำลังพลนักสืบได้อย่างน่าชื่นชม
แม้ช่วงแรกจะกระท่อนกระแท่นขลุกขลักในการจัดขุมกำลังทัพ ไม่อาจสลับไพ่เลือกตัวผู้เล่น เป็นการ “จั่วลม” เจอพิษของ “ตัวโจ๊กเกอร์” พาเสียขบวนไปหลายปี
ถึงกระนั้น “ดรีมทีมนักสืบ” ของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา สามารถพิชิตคดีโบแดงสำคัญได้ราบคาบ อาทิ ฆ่ายกครัว 8 ศพที่จังหวัดกระบี่ คดีระเบิดป่วนกรุงหลายจุด รวมถึงคดีชิงทองฆ่า 3 ศพห้างดังกลางเมืองลพบุรี ที่พา “ผอ.กอล์ฟ” ประสิทธิชัย เขาแก้ว สู่หลักประหาร
ล่าสุดวาง “มรดก” ไว้ต่อยอดสร้างทายาทนักสืบรุ่นต่อไป ด้วยการอนุมัติโครงการพัฒนาข้าราชการตำรวจฝ่ายสืบสวนของตำรวจภูธรภาค 3 ให้มีประสิทธิภาพ ยกระดับความสามารถในการปฏิบัติภารกิจหลักเพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาล
ตามที่ พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 นำเสนอเป็น “เจ้าภาพ” ให้ครอบคลุมถึงข้าราชการตำรวจทั่วประเทศไปในคราวเดียวกัน
ภายใต้ “โครงการพัฒนาบุคลากรด้านการสืบสวนโดยใช้เทคโนโลยีของข้าราชการตำรวจสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (The training program for investigative personnel On Using the Royal ThaiPolice’s technology) (T.I.P.T.Korat 63)”
คัดเลือกบุคลากรที่เข้ารับการอบรมเป็นเวลา 7 วันระหว่างวันที่ 23 – 29 สิงหาคม 2563 ที่โรงแรมแคนทารี่ จังหวัดนครราชสีมา
เป็นระดับสารวัตรสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัด จังหวัดละ 1 นาย รวมจำนวน 76 นาย ระดับสารวัตรสืบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ถึง 9 กองบังคับการละ 1 นาย (ยกเว้นกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 จำนวน 5 นาย) และกองบังคับการสืบสวนสอบสวนนครบาล 1 นาย รวมจำนวน 14 นาย
ระดับสารวัตรสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9 กองบังคับการละ 1 นาย รวมจำนวน 9 นาย ระดับสารวัตรสืบสวน กองบังคับการในสังกัด กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบังคับการละ 1 นาย รวมจำนวน 11 นาย ระดับสารวัตรสืบสวน กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1-3 กองบังคับการละ 1 นาย รวมจำนวน 3 นาย ระดับสารวัตรสืบสวน กองบังคับการสืบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 1-5 จำนวน 5 นาย
ระดับสารวัตรสืบสวน กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1-4 จำนวน 4 นาย ระดับสารวัตรสืบสวน กองบังคับการปราบปรามยาเสพติด 1-4 จำนวน 4 นาย ระดับสารวัตร(ผู้รับผิดชอบงานด้านยาเสพติด) กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1-4 จำนวน 4 นาย
รวมผู้เข้ารับการอบรมจำนวน 130 นาย
ทั้งนี้ พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เป็นผู้อำนวยการหลักสูตรโครงการมีความมุ่งมั่นในการจัดโครงการในครั้งนี้ ประสานวิทยากรที่มีความรู้ ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เฉพาะด้านมาฝึกอบรม
อาทิ พล.ต.ต.ศิริพงษ์ ติมุลา รองผู้บัญชาการสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร วิทยากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารงานสืบสวน พ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว ผู้กำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้โปรแกรมวิเคราะห์และหาความสัมพันธ์ พ.ต.ท.นันทวุฒิ รอดมณี รองผู้กำกับการสืบสวน สถานีตำรวจภูธรปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ผู้เชี่ยวชาญการสืบสวนทางคอมพิวเตอร์และการใช้หลักฐานทางดิจิทัลในคดีอาญาทั่วไป อาจารย์ไพรัช ปาเปาอ้าย ผู้เชี่ยวชาญการนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และเว็บไซต์มาประยุกต์ใช้ในงานสืบสวน และ นายสุชาติ ธานีรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบริหารงานทะเบียน สำนักบริหารการทะเบียน สอนวิชาการตรวจสอบทางทะเบียนราษฎร์ ผ่านช่องทางของกรมการปกครอง
วัตถุประสงค์เพื่อ สนองนโยบายตามยุทธศาสตร์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพัฒนาบุคคลกรให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการสืบสวนติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว
ผู้รับการสัมมนายังสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดให้ข้าราชการตำรวจภายในหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อยกระดับความรู้ ความสามารถ และทักษะทางด้านเทคโนโลยี ให้เกิดความทัดเทียมกันของทุกหน่วยในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เสริมสร้างความสามัคคี “ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” เกิดการประสานความร่วมมือระหว่างข้าราชการตำรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เริ่มนับก้าวใหม่เพื่อจะก้าวต่อไปให้ทันโลกแห่งความเปลี่ยนแปลง