ปฐมบทของผลผลิตที่ผิดฝา

ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน เคาะมติเป็นเอกฉันท์

เสนอชื่อ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36 ขึ้นนั่ง “คุมทัพสีกากี” เป็นคนที่ 12 ในประวัติศาสตร์ “สำนักปทุมวัน” ถัดจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เพื่อนร่วมรุ่นที่ครบเกษียณอายุราชการ

ควบม้าประคองลู่ตีเข้าโค้งผ่านเข้าวินตามคาด

ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเรียกประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถึง ผู้บังคับการ ทั่วประเทศในบ่ายวันเดียวกัน

มีเก้าอี้ทั้งหมด 258 ตำแหน่งใช้เวลาอันรวดเร็วเสมือนถก “บัญชีลงตัว” มาตั้งแต่ไก่โห่

ปิดโอกาสให้ “พิทักษ์ 1 คนใหม่” เลือกมือไม้ไว้ใช้งานเป็นของตัวเอง

แบ่งเป็นระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ว่างเพียง 2 ตำแหน่งจากการที่ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย เกษียณอายุราชการ และตำแหน่งของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ที่เลื่อนขึ้นเป็นผู้นำหน่วย

ส่วนเก้าอี้ของ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา แม้โดนสำรองราชการ แต่ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม จึงไม่สามารถพิจารณาแต่งตั้งใครมาแทนได้

ส่งผลให้ พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ขยับขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขณะที่ พล.ต.ท.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ขึ้นเป็นจเรตำรวจแห่งชาติ แทน พล.ต.อ.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกรู ที่สไลด์ไปเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ระดับผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่าง 5 ตำแหน่ง

ไม่เป็นปัญหาที่ พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ พล.ต.ท.กิตติพงษ์ เงามุข ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล และ พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด จะขยับขึ้นไปแทน

ไฮไลต์เที่ยวนี้อยู่ที่ตำแหน่งระดับผู้บัญชาการว่าง 13 ตำแหน่ง รองผู้บัญชาการว่าง 44 ตำแหน่ง และผู้บังคับการว่าง  84   ตำแหน่ง

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางน่าจะเป็น “หน่วยเดียว” ที่ “ตำแหน่งเลือกคน ไม่ใช่คนเลือกตำแหน่ง” แบบที่ พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางคนใหม่กล่าวไว้

นอกนั้นใน “เก้าอี้หลัก” บางหน่วยที่สำคัญยังไม่อาจหลุดพ้นจากวังวนของผู้กุมอำนาจการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้าย ผลิต “ผลพิษ” ของเด็กผู้เป็นนาย อาศัยเส้นสายทำลายระบบ กลบคำว่า “เหมาะสม” ทำให้เกิดอาการลัดวงจร

กลายเป็นปลาผิดน้ำ

ไม่ต่างยุค “มารขาว-มารดำ” ที่ปู้ยี่ปู้ยำองค์กรตำรวจพังยับเยินมาก่อนหน้า

น่าเสียดายการถ่ายเลือดเที่ยวนี้ บางทีมีเสียงสะท้อน “ร้องยี้”ในการคัดเลือกตัวผู้เล่นผิดตำแหน่ง แบ่งข้างเก็บเกี่ยวผลประโยชน์พวกพ้องพี่น้องผองเพื่อนมากกว่าผลของการขับเคลื่อน “ทัพสีกากี”ให้เดินไปข้างหน้าเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

นโยบายหลักของรัฐบาลถึงดูไร้ค่า เมื่อมองราคาค่าของ “ขุนพล” น้อยเกินไป

นี่แหละปฐมบทของผลผลิตที่ผิดฝา

 

 

RELATED ARTICLES