ปริศนาค้างคาใจสังคมตลอด 8 เดือนเศษ
กับคำถามที่หลายคนอยากรู้คำตอบ
“ใครฆ่าน้องชมพู่”
แฟ้มคดีท้าทายความสามารถของนักสืบชั้นหัวกระทิที่มี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าทีม
เดิมพันด้วยความยุติธรรมแก่เด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาวัย 3 ขวบ
การแกะรอยเกาะติดบ้านกกกอก ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร พวกเขาระดมสรรพกำลังและสารพัดตำราการสืบสวนท่ามกลางแรงกดดัน
ฆาตกร คือ ใคร
ตำรวจจะสามารถกระชากโฉมหน้าได้หรือไม่
เป็นอะไรที่ติดค้างคาความรู้สึกของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ตั้งแต่ยังเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กระทั่งก้าวขึ้นนั่งตำแหน่ง “แม่ทัพ” เจ้าตัวจัดแจงเปิดแถลงข่าวความคืบหน้าของคดีเงื่อนงำที่ได้จากผลการปฏิบัติงานของทีมนักสืบ
เป็น “น้ำจิ้ม” เรียก “น้ำย่อย” แต่ “อุบไต๋”ไว้สำหรับ “ฉากอวสาน”
อ้างพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอขออำนาจศาลออกหมายจับ “ฆาตกรใจเหี้ยม”
“ขอให้คนร้ายที่ฟังอยู่ ขอให้นอนเครียดต่อไป เรายังไม่เลิก” แม่ทัพสีกากีฝากทิ้งท้าย
จากวันนั้นผ่านมาเกือบ 3 เดือน ว่ากันว่า คดีใกล้ถึง “จุดไคลแมกซ์”
หลังจากก่อนหน้าพวกเขาสรุปแนวทางการสืบสวนเบื้องต้นอย่างละเอียดพบ “ผู้ต้องสงสัย” ต้องเป็นบุคคลที่เด็กไว้ใจ เพราะอุปนิสัยของเด็ก หากมีคนแปลกหน้ามาอุ้มจะร้องโวยวายทันที การหายตัวไปนั้นปราศจากเสียงร้องและการขัดขืนใดๆ
แม้แต่พี่สาวอยู่บริเวณใกล้เคียงก็ไม่ได้ยินเสียงใด
มีพยาน 2 ปากเห็น “ผู้ต้องสงสัย” ปรากฏตัวในเส้นทางการก่อเหตุเพียงคนเดียว และอยู่ในช่วงเวลาเกิดเหตุ
พยานยืนยัน3 ปาก ได้ยิน “ผู้ต้องสงสัย” พูดถึงเรื่องเด็กหาย ทั้งที่เวลานั้นไม่มีใครทราบ ตรงกันข้าม “ผู้ต้องสงสัย” กลับไม่ได้มีความร้อนใจ ทว่าออกจากหมู่บ้านเพื่อให้ตัวเองไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ
สำคัญที่สุด คือ “ผู้ต้องสงสัย” ไม่สามารถยืนยันถิ่นที่อยู่ระหว่างเวลา 14.00-16.00 น. ที่เป็นเวลาเพียงพอต่อการเคลื่อนย้ายศพเหยื่อ
ขณะเดียวกัน ยังมีพยานเห็น “ผู้ต้องสงสัย” ปรากฏตัวในเส้นทางที่สามารถใช้เดินตรงลงมาจากจุดพบศพมุ่งหน้าไปบ้านตัวเองได้
หลักฐานสำคัญทางนิติวิทยาศาสตร์ชิ้นเดียว คือ “เส้นผม” ของเด็กที่ถูกตัดขาดหลังจากเหยื่อเสียชีวิตเพื่ออำพรางคดี
วันนี้อาจเข้าตำรา “ผีบอก”
ถึงกระนั้น คำให้การของ “ผู้ต้องสงสัย” หลายครั้งรวมกับคำให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ตลอดเวลา ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะสามารถหักล้างคำให้การพยานปากอื่นได้
ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 เวลาประมาณ 19.00 น. ขณะที่พบศพเด็กบนภูเหล็กไฟ “ผู้ต้องสงสัย” แสดงท่าทางร้องไห้เสียใจ แต่หลุดคำพูดทำนองว่า “สงสัยเด็กคงหมดอาหารจะกินจนตาย” ขัดแย้งกับสภาพศพที่มีลักษณะถูกถอดเสื้อผ้า แขนขาอ้าแบะออก
เพราะชาวบ้านทั่วไปต้องมองถึงเรื่องทางเพศก่อนเป็นอันดับแรก
ข้อสันนิษฐานดังกล่าวตรงกับแพทย์ผ่าชันสูตรพลิกศพในเวลาต่อมา มีน้ำหนักพิสูจน์ได้ว่า “ผู้ต้องสงสัย” ทราบถึงเหตุการเสียชีวิตของ “น้องชมพู่” ก่อนพบศพแล้ว
คณะทำงานสืบสวนสอบสวนของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ใช้เวลาอยู่หลายเดือนประสานผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พิจารณาข่ายความผิดของ “ผู้ต้องสงสัย” ไว้หลายข้อหา
ประกอบด้วย การนำพาตัวผู้ตายไปเป็นเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นการกระทำความผิดฐาน “พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควร” อันเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317
แม้ไม่มีปรากฏพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่า “ผู้ต้องสงสัย” กระทำการอย่างไร แต่ผลลัพท์จากการกระทำนั้นเป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตายจากการขาดน้ำขาดอาหาร เป็นการกระทำความผิดฐาน “พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควร และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายจนถึงแก่ความตาย” อันเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 , 310 วรรค 2
จากการตรวจเก็บพยานวัตถุบริเวณจุดพบศพ พบสายสิญจน์สีขาวบริเวณข้อมือซ้ายมีลักษณะถูกตัดขาดจากข้อมือซ้าย ประกอบกับรอยด่างของสีผิวหนังบริเวณข้อมือซ้ายของเหยื่อยืนยันได้ว่า มีการพันธนาการเด็กไว้เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย เป็นกระทำความผิดฐาน “หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายจนถึงแก่ความตาย” อันเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรค 2
ทว่าด้วยพยานหลักฐานการมัดข้อมือหรือการตัดเครื่องพันธนาการดังกล่าวเป็นการกระทำของผู้ใด ยังไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ให้ดำเนินคดี “ผู้ต้องสงสัย” ตามข้อกล่าวหาข้างต้น เช่นเดียวกับการกระทำความผิดฐาน “ลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพหรือส่วนของศพ เพื่อปิดบังการเกิด การตาย หรือเหตุแห่งการตาย” อันเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199
รอเพียงหลักฐานสำคัญเป็น “จิ๊กซอว์” ชิ้นสุดท้าย
ที่ไม่ใช่แค่เครื่องจับเท็จ