หายอาละวาดเข้ากลีบเมฆไปพักใหญ่
ขบวนการเรี่ยไรขอ “ส่วนบุญ” อ้างเป็นทุนสนับสนุนช่วยเหลือสวัสดิการข้าราชการตำรวจ อวดตัวเองเป็น “คนดี”
แต่บางทีพฤติกรรมมันใช่แบบนั้นหรือ
เที่ยวนี้บินหากินไกลถึงสุดชายแดนด้ามขวานประเทศท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจฝืดเคืองจาก “พิษวายร้ายไวรัสโควิด-19” แถมสถานการณ์อุทกภัยน้ำท่วมเดือดร้อนซ้ำเติมชีวิตผู้คนทำงาน “หาเช้า-กินค่ำ”
กลุ่มมิจฉาชีพ “นักบุญจอมปลอม” สวมรอยเป็นตำรวจตระเวน “เร่ขายบัตรคอนเสิร์ตการกุศล” บังคับขู่เจ้าของกิจการร้านค้าให้ความร่วมมือ
ไม่เช่นนั้นจะยัดข้อหา “เอาผิด”
เหยื่อหลายคนวิตกจริตหวาดผวายอมเสียเงินเบี้ยบ้ายรายทาง แม้เพียงเล็กน้อยยอดไม่มาก แต่มันสุดจะลำบากในความรู้สึก
มีประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากกลุ่มบุคคลที่มาบังคับให้ซื้อบัตรชมกิจกรรมคอนเสิร์ตจำนวนมากอัดอัดหันร้องทุกข์แก่ตำรวจท้องที่
ทว่าไม่มีศักยภาพกล้าพอ เพราะกลัวเกรง “พลังอำนาจเงิน” ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
สุดท้ายเข้าหู พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผู้บังคับการปราบปราม มอบหมาย พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว ผู้กำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม พ.ต.ท.สมบัติ มีมงคล รองผู้กำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม พ.ต.ท.วริศร มัจฉา สารวัตรกองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม นำกำลังตามรอยตรวจสอบข้อเท็จจริง
ได้เบาะแสข้อมูลจากผู้ประกอบการที่เดือดร้อนยืนยัน ขบวนการเหล่านี้แต่งกายคล้ายตำรวจ แสดงตัวเป็น “สารวัตร” เข้าตรวจค้นตัวผู้เสียหายภายในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งบนถนนสุขยางค์ ตำบฃสะเตง อำเภอเมืองยะลา
ข่มขู่ผู้เสียหายว่า ทำผิดกฎหมาย มีโทษทางอาญา ถ้าไม่อยากถูกจับต้องนำเงินสดจำนวน 2 หมื่นบาทมามอบให้
อวดเบ่งด้วยว่า สนิทสนมกับนายตำรวจระดับสูงหลายนาย
เหยื่อหลงชื่อเป็นตำรวจจริง แต่ยื่นข้อเสนอต่อรองจะมอบเงินสดให้แค่ 3,000 บาท ชายที่บอกตัวเองเป็น “สารวัตร” ไม่พอใจ ข่มขู่กระโชกผู้เสียหายอีก
สุดท้ายตกลงกันที่ 6,000 บาท
ไล่ลำดับความเป็นกลุ่มเดียวกับที่มาเร่ขายบัตรกิจกรรมงานคอนเสิร์ตเพื่อนำรายได้มอบเป็นสวัสดิการช่วยเหลือข้าราชการตำรวจในเชิง “บังคับขู่เข็ญ” แสดงอาการ หิวกระหายก้อนเงิน มากกว่าเจตนารมณ์ตามวัตถุประสงค์ของงานการกุศล
ตำรวจกองปราบปรามวางแผนติดตามก่อนจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 3 คน ขยายผลค้นห้องพักพบของกลางเป็น เสื้อกั๊ก เสื้อโปโลที่มีตราสัญลักษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐ บัตรขององค์กรต่าง ๆ ที่ทำเลียนแบบขึ้นมา
ทั้งหมดสารภาพว่า ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตามที่กล่าวอ้าง แต่ยืนกรานในพฤติกรรมเร่ขายบัตรคอนเสิร์ตที่มีการจัดขึ้นจริง แลกส่วนแบ่งจากการขาย 20 เปอร์เซ็นต์ จากยอดรายได้ที่ขายบัตรได้
บอกหน้าตาเฉยด้วยว่า ที่ผ่านมาเคยตระเวนไปขายมาแล้วหลายจังหวัด ไม่เห็นมีปัญหาอะไร
ถึงกระนั้น ตำรวจได้แจ้งข้อหา “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนีแสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน และกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน โดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้น, กรรโชกทรัพย์ผู้อื่น และขู่เข็ญให้ผู้อื่นเกิดความกลัว”
จะว่าไปแล้วหลากหลายกลุ่มที่ทำกิจกรรมการกุศลเพื่อสวัสดิการตำรวจมีให้เห็นมากมาย น้อยรายจะ “ฉ้อฉล” ซ่อนกลแบ่งรายได้เป็น “เม็ดทุน” เข้ากระเป๋าตัวเองจนร่ำรวยมหาศาล
ตำรวจโรงพักบางคนมักมองข้ามเนื่องจากเห็นดีเห็นงามกับ เศษเปอร์เซ็นต์ ที่แบ่งปันให้จากรายได้การไป “รีดไถ” ผู้ประกอบการเป็น “ค่าบัตรการกุศล”
ผู้ประกอบการและชาวบ้านสุดจะทนไม่รู้จะหันพึ่งพาใคร
ไม่เชื่อลองถาม พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ต.ศักดิ์รพี เพรียวพานิช ผู้บังคับการศูนย์ฝึกยุทธวิธีตำรวจ ที่เคยฟัดกันมาหลายยกกับ “หัวขบวนการ” เหล่านี้
หากจะบี้ให้เด็ดขาดต้องทำขยาดด้วยกฎหมาย
ไม่ก็ต้อง “ตาย” กันข้างหนึ่ง ตามตำราตำรวจโบราณยุคเก่า