“ไม่มีนายตำรวจนครบาลคนไหน ยิงต่อสู้กับผู้ร้ายมากเท่าผม”

ป็นนายตำรวจเพียงไม่กี่คนที่เริ่มต้นชีวิตราชการยศ ร.ต.ต.อยู่ที่นครบาลจวบจนกระทั่งเกษียณอายุราชการยศ พล.ต.ต.โดยที่ไม่ได้ย้ายออกนอกหน่วยเลย

อมร ยุกตะนันทน์ ลุงแท้ ๆ ของอดีตนางเอก “จิ๊ก-เนาวรัตน์ ยุกตะนันทน์” ถือได้ว่าคือ “ลูกหม้อ” พันธุ์แท้ของเมืองหลวง เป็นตำนานนักสืบมือพระกาฬรุ่นเก่าที่สร้างชื่อเสียงให้แก่กรมตำรวจมากมาย แถมยังปลุกปั้นลูกศิษย์ขึ้นติดทำเนียบนายตำรวจมือดีอีกไม่น้อย อาทิ วรรณรัตน์ คชรักษ์ กฤษฎา พันธุ์คงชื่น สมคิด บุญถนอม วินัย ทองสอง ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง   เป็นต้น

เริ่มเรียนหนังสือที่ ร.ร.เซ็นต์ปิเตอร์ เอส.พี.จี. แล้วต่อชั้น ม.1- ม.6 ที่ ร.ร.อำนวยศิลป์ เข้าเตรียมจุฬาลงกรณ์ พร้อมเป็นนิสิตวิศวะในรั้วจามจุรี แต่ด้วยใจรักในอาชีพตำรวจเลยตัดสินใจเบนเข็มสมัครเข้า ร.ร.นายร้อยตำรวจ

จบ นรต.รุ่นที่ 4 รุ่นเดียวกับ พล.ต.ท.ประยูร โกมารกุล ณ นคร อดีตปรมาจารย์ด้านงานสอบสวนของกรมปทุมวัน

หลังจากรับพระราชทานกระบี่ได้เข้าประจำเป็น รองสารวัตรสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง และจักรวรรดิ นาน 10 ปี ถึงขึ้นสารวัตรสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง เป็นสารวัตรสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบุปผาราม สารวัตรปราบปรามสถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชย 2 แล้วเป็น สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน

ต่อมา ผู้บังคับบัญชาเห็นฝีมือดึงให้เข้าไปทำงานสืบสวนแบบเต็มตัวในตำแหน่งรองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครใต้ พิชิตคดีดังมากมายจนได้เลื่อนนั่งเก้าอี้ “ผู้กำกับสืบสวนใต้” เมื่อปี 2518

ขยับเป็นรองผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครใต้ ก่อนขึ้นผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครใต้ เพียง 2 ปีโดนดันขึ้นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จนเกษียณอายุราชการเมื่อปี 2532 พลาดตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลไปอย่างน่าเสียดาย

พล.ต.ต.อมรบอกว่า ทำงานสืบสวนมาตั้งแต่เป็นรองสารวัตรอยู่ที่โรงพักนางเลิ้ง เพราะรัก และเห็นว่าสอบสวนอย่างเดียว จับผู้ร้ายไม่ได้ก็กลุ้มใจ ต้องกระโดดไปสืบสวนเองตามไปจับผู้ร้ายเยอะแยะ ไม่มีชื่อเสียงอะไร ทำของเราไป ตามมีตามเกิด ทำให้เรื่อยมา

“ผมไม่ได้โม้นะ แก่แล้ว ไม่ได้เอาชื่อเสียง แต่กล้ายืนยันว่า ไม่มีนายตำรวจนครบาลคนไหนที่ทำการจับกุมผู้ร้ายแล้วก็ยิงต่อสู้กับผู้ร้ายมากเท่าผม  ไปถามผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนเก่า ๆ ก็ได้ สมัยนั้นคนที่ทำงานด้านสืบสวนจับผู้ร้ายเห็นว่าเป็นใคร ถ้าไม่ใช่ อมร ยุกตะนันทน์ ไม่ต้องมาคุยกับผม”

อดีตนายพลนักสืบลูกหม้อนครบาลเล่าว่า  คดีใหญ่ทุกคดี ไปด้วยตัวเอง มีกล้องถ่ายรูปอันหนึ่งสะพายไปทำงาน เพราะชอบถ่ายรูปอยู่แล้ว ถ่ายรูป ทำประวัติ ว่าชื่ออะไร มีญาติเป็นใคร มีพวกเป็นใคร พอมีคดีเกิดขึ้นก็รู้เลยว่าจะเป็นคนนั้น

สมัยเป็นผู้กำกับสืบสวนใต้ลงไปแกะรอยล่าจับตายเสือร้ายชื่อดังที่ชาวบ้านหวาดผวาอิทธิพลและตำรวจหน่วยอื่นตามจับกันไม่ได้ อดีตผู้กำกับมือปราบจำได้ไม่ลืมว่า ตอนนั้น “เสือแมน” หรือนายแมน รอดประเสริฐ กับ “เสือน้อย” ลูกน้องคู่หูจากนครสวรรค์ เป็นมือปืนมีค่าหัวจับเป็นหรือตาย 1 หมื่นบาท ไม่มีใครจับได้ กระทั่ง พล.ต.ท.จำรัส มังคลารัตน์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ต้องตั้งกองกำกับการสืบสวนจับตัว “เสือแมน” โดยเฉพาะ  จนแล้วจนรอดจับไม่ได้ สุดท้ายถูกผู้กำกับอมรยิงตายอยู่ข้างโรงพักเตาปูน

เบื้องหลังการสืบสวนจับตายเสือแมน พล.ต.ต.อมร ยอมเปิดใจให้ฟังว่า กว่าจะได้ตัวนานมาก เหตุที่เจอเพราะสมัยก่อนมีหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่ง ได้คอลัมนิสต์ชื่อดังช่วยเขียนหน้า 4 จนโด่งดัง แต่ตอนหลังเกิดปัญหาทะเลาะกัน คอลัมนิสต์คนนี้เลยประกาศแยกตัวมาหานายทุนใหม่ ได้ ร.ต.อ.สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ เข้ามาช่วยซื้อหัวหนังสือพิมพ์ดาวสยาม คอลัมนิสต์คนนี้กลับมาเขียนให้ดาวสยามจนดังติดตลาด สร้างความไม่สบายใจแก่เจ้านายคนเก่าที่ครองตลาดหนังสือพิมพ์อยู่ มีการให้ลูกน้องเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้วติดต่อเสือแมนเข้ามาจะยิง ร.ต.อ.สุรัตน์ แต่เสือแมนกลับทำตัวเป็นนกสองหัวเดินใจเย็นเข้าไปหา ร.ต.อ.สุรัตน์ ขอค่าคุ้มครอง 5,000 บาท

“สุรัตน์มันเพื่อนผมสมัยเรียนอยู่อำนวยศิลป์ โทรศัพท์นัดผมไปกินข้าวกลางวันด้วยแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่าจะทำยังไงดี รู้แต่ชื่อเสือแมน ผู้ร้ายอยู่นครสวรรค์ ผมบอกให้ใจเย็น ๆ ถ้ามันมาให้โทรหาผม หลังจากนั้นก็ไปกองวิทยาการ กรมตำรวจถึงรู้ว่าประวัติร้ายกาจมาก ฆ่าคนมาเยอะ มีหมายจับหลายใบ”

เมื่อ ร.ต.อ.สุรัตน์ นัดเสือแมนมาเอาเงินก็รีบโทรบอกตามแผน แต่เหมือนยังไม่ถึงฆาตเพราะเสือแมนมาเร็วกว่า 1 วัน เลยต้องให้ ร.ต.ท.อดุลย์ บุญเสรฐ เป็นม้าเร็วขี่มอเตอร์ไซด์ล่วงหน้าสะกดรอยตามไปก่อนเพื่อดูว่าเสือแมนพักอยู่ที่ไหน ปรากฏว่า ร.ต.ท.อดุลย์ เป็นคนพิจิตร รู้จักเสือแมนดี พอเจอตัวเลยตรงรี่เข้าไปชักปืนยิงใส่ แต่กลับไม่โดน

“แค่ได้รับรายงานเท่านั้นแหละ ผมโกรธมาก เพราะคนร้ายรู้ตัว ความแตกแล้ว ด่าลูกน้องสวนกลับไปว่า กูไม่ได้สั่งให้มึงยิง ให้สะกดรอยตามอย่างเดียว สุรัตน์ต้องหนีออกนอกประเทศ เพราะรู้ว่าอันตราย มันต้องตามมายิงแน่ พี่น้องเลยประชุมหยุดหนังสือพิมพ์ หนีไปอยู่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย ซิดนีย์ ระหว่างที่ไปอยู่เมืองนอกก็โทรมาคุยกับผม เพราะไม่สบายใจ ผมก็บอกมึงเย็นไว้ เดี๋ยวกูจะเอาตัวมันมาให้ได้  แล้วดูฝีมือกู”

ในที่สุดก็ตามจนเจอรังที่เสือแมนกบดานอยู่ ผู้กำกับอมรจึงนำกำลังตำรวจสืบสวนใต้ไปล้อมจับตอนเช้ามืด เสือร้ายแห่งนครสวรรค์กระโดดหลังคาหนีมาประจันหน้ากับเขาพอดีเลยถูกอดีตนักแม่นปืนทีมชาติซัด 11 มม.ใส่เข้าแสกหน้าตายคาที่ ส่วนเสือน้อย สมุนคู่หูที่เหลืออีกคนหนีไปได้แค่ 2 วันก็พบจุดจบโดน ผู้กำกับสืบสวนใต้จับตายย่านฝั่งธนบุรี คว้าเงินรางวัลนำจับ 1 หมื่นบาทบริจาคบำรุง รพ.ตำรวจหมด

อีกราย เสืออนุศักดิ์ อยู่เย็น มือปืนร้ายที่เข้าไปจี้ภรรยาคนตระกูลล่ำซำถึงในบ้านตอนกลางวันแสกๆ แล้วบังคับให้พาไปเบิกเงินที่ธนาคาร 1 ล้านบาท โชคดีที่ผู้เสียหายมีไหวพริบขับรถเบนซ์พุ่งเข้าหาตำรวจจราจรระหว่างทาง ทำให้มันเปิดประตูเผ่นหนีไป

นายจุลินทร์ ล่ำซำ เจ้าสัวใหญ่ตระกูลดังได้เดินทางเข้าร้องต่อ พล.ต.อ.ประสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจ เรียก พล.ต.ท.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ไปพบและกำชับให้ติดตามตัวคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีให้ได้

“ไม้พ้นไอ้มรต้องลงไปสืบสวน ได้ความว่ามันชื่ออนุศักดิ์ อยู่เย็น”

พล.ต.ต.อมรเล่าว่า ประจวบเหมาะที่ช่วงนั้นเสืออนุศักดิ์ ไปติดครูสอนเต้นรำที่โรงเรียนแถวสามย่าน หญิงคนนี้หน้าตาดี มีอยู่วันเสืออนุศักดิ์ไปดักรอจนโรงเรียนเลิกแล้วใช้ปืนจี้ฉุดครูคนดังกล่าวขึ้นรถยนต์พาไปข่มขืนที่โรงแรม ผู้เสียหายจึงมาเล่าให้สามีฟังก่อนมาปรึกษา จ.ส.ต.บุญทรง ฤกษ์บางพลัด ลูกน้อง พอได้ข้อมูลจึงลงไปสืบสวนทันที วางแผนหลอกให้เหยื่อทำดีกับคนร้ายแล้วล่อออกมาเจอกันที่ปากซอยโรงหมู ถนนพระราม 4

 “ผมนำกำลังไปซุ่มรออยู่ และจำกิริยาท่าทางของมันดี เห็นมันแหน็บปืน 357 ศูนย์แดงมันวาว ผมเตรียมตัวอยู่แล้วกำปืนอยู่ในกุงกระดาษ พอเสืออนุศักดิ์เปิดชายเสื้อหันมา ผมก็ทิ้งถุงลั่นกระสุนใส่มันก่อนทันที 2 นัด ขืนรอมันใส่ก่อนผมก็ตายซิ นัดแรกเข้าที่เหนือคิ้วซ้าย อีกนัดเข้าหน้าท้องกระเด็นตายคาที่  มีลูกน้องอีก 2 คนที่มาด้วยกันกับมันวิ่งหนี ตำรวจของผมวิ่งตามไปยิงตายเรียบรวม 3 ศพ”

ส่วนหนึ่งของอีกคดีที่ยังติดตาและภูมิใจ พล.ต.ต.อมรย้อนลำดับเรื่องว่า เป็นคดีแก๊งคนร้ายสวมเครื่องแบบตำรวจดักโบกรถบรรทุกตามต่างจังหวัดแล้วเอาปืนจี้จับใส่กุญแจมือไปจ่อยิงทิ้งข้างทางอย่างโหดเหี้ยม ทั้งคนขับรถและเด็กท้ายรถ ก่อคดีมานับสิบ มีอยู่รายเกิดขึ้นท้องที่บางนา จี้โชเฟอร์รถบรรทุกข้าวสารที่จอดนอนอยู่ริมถนนไปยิงทิ้งอยุธยา

“นึกว่ามืดแน่ ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ว่าไปแล้วเรียกว่าฟลุ้กก็ได้ เพราะมีลูกน้องของผมชื่อสามารถ เปิดบริการรับล้างรถมาบอกสงสัยเด็กกลุ่มหนึ่งทำตัวรวยมาก กินเหล้าวิสกี้ ซื้อเป็ด ซื้อไก่ มากิน มื้อละเป็นพัน ไม่รู้เอาเงินที่ไหนมา ผมฟังแล้วสงสัยว่าใช่พวกมันแน่  แต่ให้ไปดูอีกที ปีนดูบ้าน แอบถามเด็กในบ้านก็ดันพูดว่า พวกนี้ฆ่ามาเยอะแล้ว ผมก็ย้ำสืบสวนให้แน่ชัดว่า ฆ่าอะไร กระทั่งเห็นมีในจำนวนนั้นแต่งตัวตำรวจ มีหมวกตำรวจ ติดยศจ่า ก็ชักเข้าเค้า”

ตำรวจมือปราบคนดังระดับปรมาจารย์เล่าต่อว่า ให้ลูกน้องโทรศัพท์ทางไกลไปถามนายตำรวจระดับสารวัตรโรงพักที่เกิดเหตุว่า พฤติกรรมของแก๊งคนร้ายรายนี้เป็นแบบไหน ได้ความชัดเจนว่า พวกมันแต่งตัวเป็นตำรวจรอโบกรถบรรทุกสินค้าแล้วจี้คนขับกับเด็กท่ายรถไปยิงทิ้งก่อนปล้นเอาสินค้าและนำรถไปชำแหละ จึงวางแผนจับ วางสายที่เป็นเด็กในบ้านคนร้ายค่อยดูพฤติกรรม จนรู้ว่าพวกมันเตรียมตัวจะไปปล้นอีกครั้ง

“ผมวางแผนร่วมกับตำรวจทางหลวง เพราะนอกเขตรับผิดชอบ เล่นวิธีการเดียวกับมัน ให้ทางหลวงตั้งด่านสกัดจับบนถนนสายเอเชีย พื้นที่อยุธยา  ส่วนพวกผมนอกเครื่องแบบขับรถไล่หลัง ปรากฏว่า มันแหกด่านลงข้างทาง พวกผมจึงวิ่งลงไปตามดวลปืนไล่ยิงคนร้ายตายหมด 5 ศพ”

“นี่คือสิ่งที่ผมกล้าพูด ไม่จริงไม่พูด ผมยิงมาเป็นสิบ ๆ เป็นนายตำรวจนครบาลที่ปะทะกับโจร จับเป็น จับตายได้ด้วยมือของผมเอง ลูกน้องบางคนบอกไม่กล้า บอกยิงไม่แม่น เป็นอะไรไปใครรับผิดชอบ มันปอด เราก็บอก กูทำเองก็ได้ แต่ต้องเป็นของจริงนะ” พล.ต.ต.อมรกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

ถามถึงการทำงานสืบสวนของตำรวจยุคปัจจุบัน พล.ต.ต.อมรส่ายหัวสะท้อนให้เห็นชัดว่าเทียบกันไม่ได้ “พูดตรง ๆ ว่าไม่ไหว แต่บ้างครั้งจะว่าไปแล้วก็ไม่ถูก คนละแบบ เราต้องดู ผู้บังคับบัญชาสมัยนี้ เทียบกับผู้บังคับบัญชาสมัยนั้น ต่างกันอย่างไร ถ้าสมัยก่อน ผมกล้าทำงาน หากผู้บังคับบัญชาว่า คดีไม่ไหวแล้ว มันมากเหลือเกิน ต้องช่วยหน่อย เอาเป็นหรือตายก็ได้ แต่สมัยนี้มันตัวใครตัวมัน ผิดเดี๋ยวก็เข้าคุก”

เป็นสมัย ๆ ไปหรือคงอาจต้องปล่อยและให้ผู้ใหญ่เห็นก่อนว่า “ไม่ไหวแล้ว”

พล.ต.ต.อมรทิ้งท้ายว่า แค่ตอนเป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครใต้ มีคนมาเบิกเงินธนาคารแล้วถูกคนร้ายขี่มอเตอร์ไซด์ปาดหน้าชิงเงินไปยังต้องจดสถิติไว้ด้วยตัวเองถึงมองออกว่า เหตุเกิดทุกเย็นวันศุกร์ ก็เพราะวันเสาร์อาทิตย์ มีสนามม้า มีมวย คนร้ายต้องการนำเงินไปเล่นพนัน จึงสั่งการให้เอาตำรวจนอกเครื่องแบบซุ่มไว้หน้าธนาคาร และติดต่อประสานพนักงานแบงก์ให้สังเกตลูกค้า

“กระทั่งสงสัยผู้หญิงคนหนึ่งชอบเข้ามาซื้อเช็คของขวัญวันศุกร์ พออีกศุกร์ก็นำมาขายคืน เมื่อออกไปข้างนอกแบงก์ก็ควักผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาส่งซิก ให้รถมอเตอร์ไซด์ขี่ตามผู้เสียหายที่เบิกเงินจำนวนมากขึ้นแท็กซี่ เมื่อมั่นใจว่า ใช่แน่ ผมวางแผนรอมันทำอีกครั้งวันศุกร์หน้า แล้วก็เป็นจริง สามารถจับกุมคนร้ายแก๊งนี้ได้ยกทีม”

“ทั้งหมดที่เล่ามา นี่แหละวิธีสืบของผม”

ต้นตำรับนักสืบมือปราบเมืองกรุง

อมร ยุกตะนันทน์ !!!

RELATED ARTICLES