“เป็นหัวหน้าปราบปรามมือปืนรับจ้างของกรมตำรวจ ต้องเจออิทธิพลของนักการเมืองมากมาย”

รรดาทำเนียบนักสืบสีกากี หากไม่มีชื่อ “สมเกียรติ พ่วงทรัพย์” ดูเหมือนจะขาดความสมบูรณ์ในการรวบรวมเหล่าตำนานมือปราบของกรมตำรวจในอดีตที่สร้างผลงานพิชิตคดีดังระดับประเทศไว้มากมาย

สื่อมวลชนยังตั้งฉายาให้เป็น “มือปราบตี๋ใหญ่” ที่กลายเป็นละครโด่งดังคับจอแก้วมาแล้ว

พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ ชาวกรุงเทพมหานคร เกิดในครอบครัวทหาร บ้านอยู่ในค่ายกรมสรรพวุธทหารบก พ่อเป็นนายทหารยศ “พันตรี” แต่ตัวเองเลือกจะเป็นตำรวจสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยสามพรานรุ่น 16 เพื่อนร่วมรุ่นล้วนเป็นนายพลชื่อดัง อาทิ พล.ต.อ.สมชาย วาณิชเสนี พล.ต.อ.เขตต์ นิ่มสมบุญ พล.ต.อ.อัยยรัช เวสสะโกศล พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ และพล.ต.ท.ทวี ทิพย์รัตน์ เป็นต้น

เหตุที่ผ่าเหล่า เจ้าตัวบอกว่า ชีวิตอาจถูกลิขิตให้มาเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

ตอนอายุเพียงแค่ 10 ขวบ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจเปิดอบรมนักสืบเยาวชน เขาแอบไปสมัคร ทำหน้าที่สอดส่องดูแลพฤติกรรมต่าง ๆ ของคนร้ายเพื่อนำไปแจ้งตำรวจ อาจเป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาเลือกเป็นตำรวจ แทนที่จะเป็นทหารตามพ่อ

ชีวิตการเป็นตำรวจของ พล.ต.ท.สมเกียรติ เริ่มต้นไม่ค่อยสวยหรูประทับใจเท่าใดนัก เพียงแค่ลงไปฝึกงานโรงพักสำราญราษฎร์ก็เจอฤทธิ์ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ไปจับซ่องโสเภณีในพื้นที่ แต่พอยกกำลังไปทีไรก็คว้าน้ำเหลวทุกที กว่าจะเรียนรู้ตื้นลึกหนาบางแล้วสร้างผลงานจับโสเภณีย่านโลกีย์เหล่านั้นได้ เขาก็ถูกเขม่นทันที

ต้องไปเริ่มต้นหมวดใหม่บรรจุอยู่ดินแดนสมรภูมิคอมมิวนิสต์ อำเภอเมืองสกลนคร เดินตามอุดมการณ์ด้วยการรักษากฎหมายอย่างเที่ยงตรง เข้าล็อกทหารพกปืนเดินตลาดจนหวิดเป็นเรื่องเป็นราว ต่อมาจับกุมการพนันได้ผู้ต้องหาพร้อมของกลางกลับโดนร้องเรียนว่ากลั่นแกล้งจับกุม เมื่อไปปรึกษารุ่นพี่นักเรียนนายร้อยที่อยู่อำเภอใกล้เคียงกัน คำตอบยังก้องหูอยู่ที่วันนี้

“ชีวิตตำรวจมันต้องโดนอีกเยอะแยะ ถ้าจะเป็นแบบนี้ ความยุติธรรมมันไม่มีหรอก” พล.ต.ท.สมเกียรติจำแม่น

ยุคนั้น พล.ต.ท.สมเกียรติเล่าว่า ต้องเดินเข้าป่าอยู่เรื่อย ต้องไปพักค้างแรมกับชาวบ้าน หรือตามวัด อาหารการกินจะมีชาวบ้านนำมาให้ บางวันก็จะฆ่าไก่ให้ เราถือคติว่า ค่าไก่ 10 บาทให้เป็นสินน้ำใจแก่พวกเขาจะไม่กินฟรีเด็ดขาด มีคดีเกิดขึ้นหมู่บ้านไกล ๆ ก็ต้องไปสอบสวน ลำบากมาก ในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ เช่น นำกำลังไปอำเภอสว่างแดนดิน ใช้ปืน ปืน เอ็ม 3 เป็นปืนประจำกายรบกับผู้ก่อการร้าย เวลายิงคอมมิวนิสต์ตายต้องตัดมือไปตรวจพิสูจน์ในเมือง ส่วนศพก็เผาทิ้งตรงนั้นแล้วเดินทางต่อ

ประจำอยู่สกลนครไม่นาน พล.ต.ท.สมเกียรติบอกว่า โชคดีถูกย้ายไปอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ถือว่าเจริญมาก ต้องเผชิญกับปัญหาทะแนะทำตัวเป็นทนายให้ผู้ต้องหาหากเวลาจับกุมไปขังแล้วยังไม่สอบทันที ทำให้กระบวนการสอบสวนเสียหายจึงต้องเหนื่อยกว่าเดิม คือเวลาจับกุมผู้ต้องหาได้หลายคนต้องรียแยกกันสอบปากคำเลย ไม่ให้ทะแนะมาหาผลประโยชน์

“ผมเป็นคนไม่ยอมคน มานั่งคิดถึงวันนี้ ตอนอยู่ขอนแก่น สมัยก่อนผู้บังคับการมีอำนาจล้นฟ้า รู้จักสนิทสนมกับเจ้าของบริษัทน้ำมัน วันหนึ่งลูกน้องของเขาไปขับรถชนครูตายทั้งผัวและเมีย ผู้การสั่งให้ผมช่วยหน่อย ทั้งที่เจ้าของบริษัทไม่รับผิดชอบ ผัวเมียตายเหลือแต่ลูก เขาเสียหาย แต่ยังไม่ยอมใช้ทางแพ่ง  ผมไม่ยอมหรอก ผมสั่งฟ้องเลย ปรากฏว่า ผู้การเสนอย้าย มานั่งนึกถึงวันนี้ ตอนนั้นแกย้ายเราไม่ได้นี่นา”

แต่ความแข็งกร้าว และความขยันตั้งใจทำงานของเขาในสมัยนั้นสามารถสร้างชื่อทำผลงานพิชิตคดีสำคัญที่นำมาแต่งเป็นอาชญนิยายเรื่อง “ไอ้เก้านิ้ว พิศวาสฆาตกรรมอำพราง” ให้รุ่นน้องเก็บไว้ใช้เป็นบทเรียนได้ พล.ต.ท.สมเกียรติเล่าว่า ตอนอยู่ขอนแก่นมีคดีดังเกี่ยวกับฆาตกรรมอำพราง เริ่มต้นจากผู้ชายคนหนึ่งไปหลงรักพาร์ทเนอร์อ้อนวอนอย่างแต่งงานด้วย แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอม มันเลยตัดนิ้วตัวเองให้ผู้หญิงดูเพื่อพิสูจน์รักแท้จนฝ่ายหญิงใจอ่อนยอมแต่งงานอยู่กินกัน

พอแต่งงานเสร็จ ผู้ชายคนนี้ร่ำรวยเป็นอาเสี่ยไปหลงรักพาร์ทเนอร์อีกคนได้มาเป็นเมียจดทะเบียนกันเรียบร้อย ตอนหลังเมียหลวงเริ่มรู้มาอาละวาด ทำให้ฝ่ายชายคิดไม่ตก ไปปรึกษากลุ่มทนายความ อัยการและผู้พิพากษา ก่อนได้แนวคิดจากผู้จัดการบริษัทประกันชีวิตหลอกให้เมียหลวงไปทำประกันแล้วจ้างให้คนขับรถชนทำอำพรางเป็นอุบัติเหตุ ลองอยู่ 2-3 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ   สุดท้ายตัวผู้ชายขับเอง ผู้หญิงตาย ส่วนตัวมันบาดเจ็บมากนอนอยู่โรงพยาบาล

“ผมเป็นร้อยตำรวจเอกไปสอบปากคำ มันบอกว่า ถ้าผู้กองคิดว่าผมกล้าเสี่ยงชีวิต ผู้กองทำแบบผมได้มั้ย ผมก็ฟังมัน กลับมาก็ศึกษาประวัติมันเลยได้ข้อมูลที่มันเคยตัดนิ้ว ผมก็เอาประเด็นตรงนี้เป็นประเด็นหลัก สอบปากคำ ฟ้องในข้อหา ฆ่าเมีย สู้ถึง 3 ศาล ผู้พิพากษาลงโทษหมดข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา ไม่ใช่ข้อหาขับรถประมาท เพราะมันพยายามวิ่งให้ลงข้อหาขับรถประมาท โทษมันเบา อย่างเก่งก็ติดคุกปีสองปี แล้วยังได้ประกันชีวิตด้วย” อดีตนายตำรวจนักสืบชื่อดังเล่าด้วยความภาคภูมิใจ

“ผมไม่ยอม เพราะมีข้อมูลที่พยานเป็นเพื่อนคนตายมาบอกว่า คนตายเคยเล่าให้ฟัง เรื่อง แปลกที่มีคนจะขับรถชนเธอหลายเที่ยว การรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดในคดีนี้ก็เป็นฎีกาแรก ๆ ที่เป็นตัวอย่างให้แก่พนักงานสอบสวนได้  ตำรวจมักจะมีความรู้สึกว่า ถ้าหากคดีที่เราเข้าเวรเป็นคดีหนัก ๆ ถ้าจับคนร้ายแล้ว ไม่มีประจักษ์พยาน ตำรวจก็ไม่อยากทำ แต่คดีเรื่องนี้เป็นเครื่องเตือนสติให้ตำรวจว่า ถ้าขยันในในการหาพยานแวดล้อมก็จะดำเนินคดีได้ เราตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา 3 ศาลลงหมด เป็นฎีกาที่นำมาสอนตำรวจมากมาย”

ปี 2515 ขณะกลับจากอบรมหลักสูตรการบริหารงานตำรวจทั่วไป วิทยาลัยตำรวจประเทศมาเลเซีย ถูกคำสั่งย้ายไปรู้ตัวไปเป็นผู้บังคับการกองเมืองอุดรธานี ที่กำลังเป็นพื้นที่ศิวิไลซ์เจริญรุ่งเรื่องเต็มไปด้วยแสงสี เพราะมีทหารอเมริกันตั้งฐานทัพอยู่ช่วงระหว่างสงครามเวียดนาม “ ไม่รู้ว่าเป็นคนอย่างนี้ได้อย่างไร ผมถือว่า ผมไปโดยไม่ได้ทาบทามผม ใคร ๆ ก็อยากจะไปเพราะรุ่งเรืองมาก มีนายตำรวจบอกว่า เป็นผู้กองก็ต้องจัดวันเกิด ผมถามว่า จัดวันกิดได้เงินเท่าไหร่ ได้สัก 2 หมื่นบาทนะสมัยนั้น ผมบอกไม่เอา ผมตั้งใจจะไปทำงานให้ได้ดี ไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่งกับผม”

“ยุคนั้นมีทหารอเมริกันเข้ามาอยู่เป็นพันคน มันกอดจูบผู้หญิงไทยริมถนนบ้าง บนสามล้อถีบบ้าง ผมนึกยังไงก็ไม่รู้ บอกผู้บังคับบัญชาของทหารอเมริกัน พฤติกรรมอย่างนี้มันผิดกฎหมายเมืองไทย ข้อหาอนาจารนะ ทำไม่ได้ ต้องคิดถึงขนบธรรมเนียมประเพณีไทย มันบอกตำรวจที่เคยอยู่ที่นี่ไม่เคยมีใครทำแบบผม มันขอพบผม ให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเรียกตัว ผมบอกวันนี้ผมต้องเข้ากรุงเทพฯ มีงานเลี้ยงรุ่น มันบอกขอให้เข้าประชุมก่อนเดี๋ยวจะจัดเครื่องบินไปส่งให้ ตกลงผมก็เข้าประชุม และตกลงกันว่า ถ้าทหารเข้ามาเป็นรุ่น ๆ จะให้ผมเป็นคนปฐมนิเทศ ต้องเคารพกฎหมายไทย” พล.ต.ท.สมเกียรติยิ้มอารมณ์ดี

ทว่าไม่วายเจออุปสรรคถูกมรสุมชีวิตบนเส้นทางสีกากีที่อาจเป็นจุดหักเหให้เขาโด่งดังเป็นพลุแตกในเวลาต่อมา หลังจากจับคนร้ายค้าเฮโรอีนแล้วผู้ต้องหาไปวิ่งเต้นกับ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร นายทหารลูกชายจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ทั้งยังมีพ่อตาคือ จอมพลประภาส จารุเสถียร ขณะนั้นนั่งตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจด้วย  พล.ต.ท.สมเกียรติเล่าว่า  มีการขอคดีจากผู้กองคนเก่า คือ บุญทิน วงศ์รักมิตร  และมีบุญชู วังกานนท์ ผู้กองเก่าที่นั่นอีกคนร่างหนังสือขอให้สั่งไม่ฟ้อง ตัวเขายอมไม่ได้ มาตรวจสำนวน หลักฐานมันแน่นหนา และหารือกับกองกำกับ กองกำกับบอกให้ฟ้องไป พอฟ้องไปเท่านั้นแหละ พ.อ.ณรงค์เซ็นหนังสือมาเองเลยให้ย้ายเขาออกนอกพื้นที่ ตั้งแท่นย้ายไปละหารทราย บุรีรัมย์ แต่พ.อ.ณรงค์ ต้องหนีออกนอกประเทศไปอยู่ไต้หวันก่อน เพราะเกิดเหตุการณ์ตุลา 2516 พอดี

ปีถัดมา เขาเลยได้ส้มหล่นย้ายมาอยู่นครบาล “ สมัยก่อนจากภูธรย้ายไปอยู่นครบาลยากมาก แทบไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะตำรวจนครบาลจะดูถูกมาก ผมย้ายไปอยู่ฝั่งธนบุรี ผู้การยังถามย้ายมาได้อย่างไร ผมบอกไม่รู้ตัว ครอบครัวผมเดือดร้อนที่ย้ายมา ลูกผมหาที่เรียนไม่ได้ เมียผมต้องออกจากงาน แกก็ตะโกนแซว เฮ้ย … มันไม่อยากเข้ามานครบาลโว้ย ผมก็มาคิด ก็ดีเหมือนกัน เพราะในยุคนั้นคนจะเข้านครบาลไม่ได้เลย ใจจริงก็ไม่อยาก พอย้ายมาแล้วก็ตั้งใจทำงาน พล.ต.ท.วิเชียร แสงแก้ว เป็นนายไม่เอาเงินลูกน้อง เอาเนื้องานอย่างเดียวเห็นผม ให้ย้ายต่อมาอยู่พญาไท”

ในยุคก่อนตอนนั้น พล.ต.ท.สมเกียรติบอกว่า นครบาลเหนือใครเก่งที่สุดให้อยู่พญาไท ฝั่งธนบุรีต้องบุปผาราม ส่วนเขตใต้ต้องโรงพักปทุมวัน ต่อมา มีตำแหน่งสารวัตรใหญ่ว่างที่เตาปูนได้เป็นเลย ตอนที่เป็นสารวัตรใหญ่สมัยก่อนผู้กำกับ และผู้การจะให้โควตาใครได้เลย ผู้การให้แล้ว ผู้บัญชาการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่เหมือนสมัยนี้ อยู่เตาปูนก็เหมือนชนบท ภูธร อยู่สักพักที่ประชุมบอกต้องตอบแทนให้ไปอยู่ที่ดีจะให้เป็นสารวัตรใหญ่จักรวรรดิ ปรากฏว่าได้ไปอยู่สำราญราษฎร์แทนถึงเจอคดีตี๋ใหญ่มาปล้นในพื้นที่

“วันหนึ่งผู้การมาหา บอกคุณสมเกียรติ คุณอยู่ไม่ได้แล้วล่ะ เพราะว่าขั้นเงินเดือนคุณไม่ได้ขึ้น สมัยนั้นคนทำงาน ถ้าทำงานไม่ดีโดนย้ายเลย ให้ไปเป็นรองผู้กำกับ แต่ถ้าทำงานดีก็จะเป็นสารวัตรใหญ่อยู่อย่างนั้น นายเขาจะใช้งานเรา ผมต้องย้ายจากสำราญราษฎร์ ผู้บังคับบัญชาบอกให้เลือกเอา เพราะอยู่ต่อไปไม่ได้ ผมเลือกเป็นรองผู้กำกับการนครบาล 4 เตาปูน ทั้งที่คนอยากอยู่นครบาล 1-2-3 ในเมืองทั้งนั้น ปรากฏว่า คำสั่งออกมาให้ ผมไปเป็นรองผู้กำกับการนครบาล 3 คุมพื้นที่พญาไท”

“ผมทุ่มเทการทำงาน ปฏิบัติหน้าที่อยู่กับอาชญากรรม ไม่เคยมีผู้บังคับบัญชาคนไหนให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอบายมุขเลย กรมตำรวจเรียกไปให้เป็นหน่วยปราบปรามตี๋ใหญ่จนประสบความสำเร็จ ก่อนได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าปราบปรามมือปืนรับจ้างของกรมตำรวจ ต้องเจออิทธิพลของนักการเมืองมากมาย ยศแค่ พ.ต.ท.ตำแหน่งรับผิดชอบเหมือนจะเป็นนายพลด้วยซ้ำ ผมศึกษาข้อมูล ยุคนั้นมือปืนรับจ้างยิงเกือบทุกวัน เป็นปัญหาสังคมในกรุงเทพฯมาก ผู้บังคับบัญชามอบหมายให้ทำ พล.ต.ท.เสน่ห์ สิทธิพันธ์ ให้เงินทีละ 2 พันบาท ในชีวิตผมมีแต่นายให้เงิน ผมไม่มีเงินให้นายหรอก ที่คนชอบพูดบอกวา ตำรวจต้องหาเงินให้นาย ผมไม่ใช่ ผมไม่ต้องหาเงินให้นาย มีแต่นายหาเงินให้ผม แกก็เอาเงินจากราชการมาแบ่งให้ผมไว้ทำงาน”

การปราบปรามมือรับจ้างเต็มไปด้วยอิทธิพลในสมัยก่อน พล.ต.ท.สมเกียรติบอกว่า ได้ศึกษาเขียน เป็นตำราไว้ว่า การปราบปรามมือปืนรับจ้างที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีตำรวจไปคบอยู่กับมัน “ผมไม่ยอมคบเลย ปิยะ อังกินันท์ ผมก็รู้จัก แกไม่ถูกกับคนในจังหวัดเพชรบุรี แต่ผมไม่ยอมให้มือปืนเพชรบุรีเข้ามาในกรุงเทพฯ ผมบอกกับแกว่า พี่แป๋ง ผมเป็นหัวหน้าหน่วยปราบปรามมือปืนรับจ้าง คนเพชรจะมาทำงานไม่ได้ ผมขี้เกียจสืบสวนนะ แกบอกน้องจะให้พี่ถูกฆ่าตายเหรอ ไม่รู้ล่ะ ผมก็บอกอย่างนี้ ตอนนั้นเขาอยู่มหาดไทยบอกกลับมาว่า ถ้าอย่างนั้น พี่ย้ายน้อง ผมสวนเลยว่า ทำไมพี่พูดกับผมอย่างนี้ เสร็จแล้วก็ผ่านไป”

อดีตนักสืบมือปราบเมืองหลวงเล่าอีกว่า การปราบปรามมือปืนยุคนั้นหนักหนาสาหัส รายละเอียดไม่อยากจะเปิดเผยมาก คดีอาชญากรรมก็มาก ตอนที่เป็นรองผู้กำกับการนครบาล 3 มีคดีใหญ่ ๆ เกิดขึ้นหลายคดี โดยเฉพาะคดีฆ่า ส.ส.ถึง 2 รายซ้อน คือ กำธร ลาชโรชน์  ส.ส.ปัตตานี พรรคชาติไทย ถูกฆ่าทิ้งศพสมุทรสาคร และศรายุทธ ชนะกุล ส.ส.ชัยนาท พรรคกิจสังคม ถูกยิงตายพร้อมเมียท้องที่พระราชวัง ทั้ง 2 คดีนี้จะเห็นได้เลยว่า เป็นตำราในการสืบสวนของตำรวจได้ ตอนนั้นมี 2-3 หน่วยงานมาร่วมกันทำงาน

“คดี ฆ่า ส.ส.กำธร กว่าจะได้ตัวคนร้ายมาไม่ง่าย ผู้ต้องหาเป็นผู้หญิงยังมาอาสาขอช่วยตำรวจตามหาฆาตกร มาหลอกตำรวจ แต่หลอกผมไม่สำเร็จ สุดท้ายก็รับสารภาพ ส่วนคดีฆ่า ส.ส.ศรายุทธ มีตำรวจหน่วยหนึ่งที่ผมไม่ขอเปิดเผยหิ้วผู้ต้องหาผิดตัว มาบอกกับผู้บัญชาการจะขอมามือปืน ตอนนั้นเราไม่มีข้อมูล ผมถามพี่จะจับเพราะอะไร เขาอ้างมีประจักษ์พยาน เป็นผู้จัดการโรงนวดถนอมใจอารีย์ตรงที่เกิดเหตุไปดูตัว ยืนยันเป็นคนร้าย เสน่ห์ สิทธิพันธ์ เรียกประชุม มี ประยูร โกมารกุล ณ นคร โรจนา นาเจริญ และผม แกถามเหตุผล เขาขอมาจับพวกคุณจะว่าอย่างไร”

“ผมบอก ไอ้การที่ขอมาจับ มีพยานปากเดียว คดีอุกฉกรรจ์อย่างนี้ ถ้าหากผิดพลาดไป ปิดกรมตำรวจเลยนะครับ เพราะคดีมันดังมาก แกก็ถามรองยูร รองยูรบอกควรจะหาพยานหลักฐานอีกสักสองสามชิ้น เพราะตัวคนที่จะขอจับมีชื่อ เป็นข้าราชการด้วย มันหนีไม่ได้แล้ว พี่โรจนา ก็เห็นว่า ไม่ควรให้จับ ผู้บัญชาการเสน่ห์ รีบไปหาอธิบดีณรงค์ มหานนท์ และไปเล่าให้รัฐมนตรีมหาดไทยฟังด้วย แกก็กลัวเหมือนกันเลยไม่จับ อีก 2 สัปดาห์ต่อมา เราถึงได้ตัวจริง และเป็นตัวมือปืน มันเป็นคดีดีมากทั้ง 2 เรื่อง” พล.ต.ท.สมเกียรติบอก

หลังพิชิตคดีสำคัญฆาตกรรมนักการเมืองระดับประเทศ พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ ยังรับคำสั่งจาก พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ ไปคลายปมสังหาร “เสี่ยจิว” จุมพล สุขภารังษี ผู้กว้างขวางเมืองชลบุรี ก่อนรวบกลุ่มผู้ต้องหาเป็นตำรวจ และทหารร่วมรับงานฆ่าเจ้าพ่อภาคตะวันออก ทำเอา “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ตอนนั้นยศ พล.ต.เป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบกไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก “ผมจับทหารมาให้อธิบดีณรงค์สอบปากคำ รุ่งเช้าบิ๊กจิ๋ว เดินมาที่กรมตำรวจ ผมก็นั่งอยู่ พอมาหาอธิบดีณรงค์เสร็จก็ออกไป อธิบดีก็เรียกผมเข้าไป บอกว่า คุณสมเกียรติ บิ๊กจิ๋วเขาขอคดีเรื่องนี้”

“ ผมบอกคดีนี้สื่อมวลชนรู้หมด จุดเริ่มต้นมาจากสื่อมวลชนด้วย ชื่ออ้วน เสี่ยจิวสั่งให้ออกจากชลบุรีภายใน 24 ชั่วโมง คนนี้เป็นคนเอาเรื่องทั้งหมดมาบอกทหาร ตอนแรกเสี่ยจิวมั่นใจว่า ไม่มีใครล้มเขาได้ ลามปามไปขอค่าคุ้มครองเรื่องแก๊สแถวจันทบุรี มันมีอิทธิพลมาก ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์คนนี้ไปเจาะข้อมูลจนเป็นเรื่องเป็นราวให้เสี่ยจิวไม่พอใจ ผมเสนอไปแบบนี้ อธิบดีณรงค์เห็นควรเอาตามผม ไม่ช่วย เอาสำนวนส่งศาล ผมบอกกับอธิบดีว่า ไปถึงศาล ผมไม่สนใจพยานหลักฐาน มันก็หลุดเอง แต่ถ้าสั่งไม่ฟ้องไปกรมตำรวจแหลกลาญแน่”

เรื่องราวตรงนี้ พล.ต.ท.สมเกียรติยังมองว่า ส่งผลกระทบตอนที่จะขึ้นเป็นผู้บัญชาการด้วยหรือไม่ เพราะตัวเขาเป็น พล.ต.ต.นานหลายปีจนแทบใกล้เกษียณอายุราชการแล้ว เป็นช่วงจังหวะเดียวกับ พล.อ.ชวลิต เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย และนายกรัฐมนตรี ถึงกับเอ่ยปากบอกคนใกล้ชิดว่า “ ถ้าให้สมเกียรติเป็น ใครจะคุมมันได้”

เส้นทางรับราชการของอดีตนายพลตำรวจท่านนี้โดดเด่นมากสุด เมื่อได้รับความไว้วางใจให้นั่งตำแหน่งผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือ แหล่งชุมนุมนักสืบระดับพระกาฬของกรมปทุมวัน เขาบอกว่า สมัยนั้นการเป็นผู้กำกับต้องผ่านที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. กองกำกับสืบสวนเหนือมีคนอยากไปอยู่กันเยอะ วันดีคืนดี พล.ต.ท.เสน่ห์ สิทธิพันธ์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเรียกพบที่ห้องทำงาน บอกขอแสดงความยินดีที่ได้เป็นผู้กำกับสืบสวนเหนือ ที่ประชุมอนุมัติให้เป็นจะปรับปรุงใครก็ปรับปรุง

“ผมก็ไม่มั่นใจว่า จริงหรือไม่ ปรากฏว่าคำสั่งออกมาได้เป็นจริง ผมก็ทุ่มเทการทำงานให้ ผมเป็นได้ 2 ปี อธิบดีณรงค์ มหานนท์ เรียกให้ไปเป็นรองผู้การที่กองปราบปราม หวังอยากให้ไปแนะนำการทำงานสืบสวน พอไปอยู่ก็เจอบุญชู วังกานนท์ ให้อย่างดีเลย คุมกองกำกับการ 2 แต่กลับมาดักฟังโทรศัพท์ผมเวลาทำงาน ผมเลยรู้ว่า ทำงานด้วยกันไม่ได้แล้ว ขอย้ายกลับมาเป็นรองผู้การเหนือแทน”

และแล้วชีวิตมือปราบที่กำลังจะรุ่งกลับสะดุดอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี อยากได้ตำรวจใจถึงไปเป็นผู้การสันติบาล ส่งกร ทัพพะรังสี มาทาบทามเขาให้ไปพบ พอเจอหน้านายกฯชาติชายบอกว่า จะแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้การสันติบาล ทำนายตำรวจนักสืบมั่นอกมั่นใจว่าติดนายพลแน่ แต่ปรากฏว่า พล.ต.อ.เภา สารสิน อธิบดีกรมตำรวจ ออกมาขวางลำ “บอกผมเป็นผู้การสันติบาลไม่ได้ เพราะมีแต่ความรู้เรื่องอาชญากรรม ต้องขึ้นเป็นผู้การเหนือ ปีถัดไปจะแต่งตั้งให้เป็นผู้การเหนือ พอปีต่อมา แกก็ไม่ให้ผม เภา สารสิน ไม่บอกเหตุผลด้วย กระทั่งอีก 2 ปี ถึงได้เป็นผู้การเขต 7 ลำปาง ถ้าตอนนั้นนายกฯ ชาติชาย ให้เป็นผู้การสันติบาล ผมจะเป็นนายพลคนแรกของรุ่นเลยทั้งทหาร ตำรวจ ป่านนี้อาจถึงอธิบดี”

“เพราะความที่เราไม่ค่อยยอมคน” พล.ต.ท.สมเกียรติคิดอย่างนั้น “ตอนจะเป็นนายพล มีคนมองว่าจะเป็นผู้การเหนือ กลับต้องพลิกไปอยู่ภาคเหนือ เพราะอะไร มารู้ตอนหละง ไอ้บ่อนการพนันกลัวอะไรผมไม่รู้ ผมไม่เคยยุ่งเรื่องบ่อน แต่คิดไปเอง ยังดีที่ไปอยู่เป็นผู้การคุมพื้นที่ 7 จังหวัดภาคเหนือ ให้แบบน่าภูมิใจ แม้ไม่ได้เป็นในนครบาล เพราะผมไม่ต้องเสียเงินสักกะบาทเดียว ในชีวิตผมไม่เคยเอาเงินตำรวจมาเลื่อนขั้น หรือแต่งตั้ง และผมก็ไม่เคยให้นายแม้แต่บาทเดียว เงินค่าจัดซื้อจัดจ้างตลอดชีวิตราชการไม่เคยเอาเลย ตอนเป็นผู้บัญชาการสันติบาลปีสุดท้ายก่อนเกษียณมีเงินราชการลับเหลืออยู่ เจ้าหน้าที่การเงินมาบอกว่า เงินราชการลับเบิกไปใช้ได้เลย ผมบอกไม่เอา อย่างน้อยคุณก็รู้ว่า ผมคืน”

ประสบการณ์นักสืบที่ผ่านมา พล.ต.ท.สมเกียรติยอมรับว่า รู้สึกประทับใจคดีฆ่า ส.ส.ทั้ง 2 ราย มันเป็นการสืบสวนที่ต้องใช้สมอง ใช้อะไรหลาย ๆ อย่าง เป็นการทำร่วมกันเป็นทีม ตำรวจถ้าใครทำงานเป็นทีมไม่ได้ ก็ลำบาก เหมือนเล่นฟุตบอลต้องเป็นทีม ไม่อย่างนั้นไม่มีความก้าวหน้า “ผมได้ความรู้จากอธิบดีณรงค์ มหานนท์ มากในเรื่องการอำนวยการ แจกงาน คนที่เป็นตำรวจต้องรู้ว่า สมองในการสืบสวนบางทีไอ้คนนี้ไม่ได้ การวางแผนมีมั้ย คนที่ขึ้นมาเป็นฝ่ายอำนวยการหาได้มั้ยในการแต่งตั้งกันมา ฝ่ายสืบสวนต้องมีสมอง ส่วนฝ่ายจับกุมที่ประชาชนรู้ว่า อาจมีชื่อมีเสียง แต่ความจริงต้องเอาคนที่หัวไม่ให้ เป็นคนไปจับ นี่คือหลักของการทำงานตำรวจ ผมเป็นผู้กำกับสืบสวนมองออกหมดจะใช้คนแบบไหน บางคนจับยาเสพติดได้ แต่จะให้ไปสืบคดีอาชญากรรมไม่ได้”

“อยากฝากถึงผู้บังคับบัญชาสมัยนี้ หากไม่ใช้ระบบคุณธรรมในการแต่งตั้ง นักสืบมันก็ไม่ทำ คนนอกจะไม่รู้เลย ใครไม่สามารถให้ปริมาณงานตำรวจได้ การทำงานทั้งหมดมันอยู่ที่ใจ ถ้าไม่มีใจ คุณบอกให้ไปสืบสวนเรื่องนั้นเรื่องนี้มันไปก่อนกลับมาแบบไม่ได้ใช้สมอง เพราะทำไปก็ไม่ได้อะไร แต่ถ้ามีใจชอบในทางนี้แล้วมุมานะในการทำงาน เสียสละ มันก็ได้ วันนี้ทุกทบวง กรม ระบบคุณธรรมแทบจะไม่มีเลย มีแต่ระบบอุปถัมภ์แล้วความสามารถในการป้องกันอาชญากรรมจะดีได้อย่างไร” อดีตตำนานนักสืบของกรมตำรวจทิ้งท้าย

สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ !!!

 

 

RELATED ARTICLES