มรสุมยังคงมะรุมมะตุ้มใส่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษ สบ 9 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่กำลังจะได้สไลด์ไปนั่งเก้าอี้ผู้ช่วยผู้บัญชการตำรวจแห่งชาติ วันที่1 ตุลาคม 2564
เกม “เตะสกัด” ขัดขานายพลหนุ่มคนดังฉายา โจ๊ก หวานเจี๊ยบ โผล่ให้เห็นเป็นระลอก
วันก่อนเจ้าตัวยอมเปิดใจกับ “ดนัย เอกมหาสวัสดิ์” ผ่านรายการ “ล้วงให้ลึก ไปให้สุดกับหมาแก่” ทางเนชั่นทีวี ช่อง 22
นายพลที่ดนัยชอบเรียกติดปากว่า “เทพโจ๊ก”
ถึงประเด็นร้อนระอุสารพัด
สรุปเนื้อหาสาระตั้งแต่ล่าสุดถูกจเรตำรวจตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณีตำรวจชั้นประทวน 17 นายไปร้องเรียนอ้างถูกบังคับให้ต้องไปรับใช้ครอบครัว โดนกดขี่ข่มเหง ด่าทอ ทำร้ายร่างกาย ถูกกลั่นแกล้งโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรมจนบางคนลาออก
งพล.ต.ท.สุรเชษฐ์บอกเป็นเรื่องเก่า 2-3 ปีแล้ว แต่พอได้กลับมารับราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็มีคนเอามาร้องเรียนอีก ยอมรับว่า โดนแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก การที่ถูกเอาไปเป็นประเด็นเกี่ยวโยงเรื่องต่าง ๆ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง
เฉกเช่นการเอาข้อมูลไปให้พรรคก้าวไกลอภิปรายปลุกคำนิยาม “ตั๋วช้าง”
“ ใครส่งข้อมูลให้ใคร คือ ผมไม่ได้เป็นนักการเมืองนะครับ ผมไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับพวกเขา แล้วอีกอย่าง ผมเป็นตำรวจอาชีพ วันนี้เมื่อผมกลับมารับราชการตำรวจแล้วมีหลายเรื่องที่ถาโถมเข้ามา แต่ผมเฉยๆกับอะไรก็ตามที่เราไม่ได้ทำ ผมก็ทำงานในหน้าที่ตามปกติ”
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์มองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นขบวนการที่จะไม่ให้เขาได้เข้าสู่ตำแหน่งบ้าง ไม่ให้ได้กลับมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“ วันนี้ผมก็อาศัยการทำงานเข้าสู้ ผมอาศัยความดี”
ขณะที่ประเด็นคลิป “ผู้กำกับโจ้” พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ ทำลายภาพลักษณ์องค์กรตำรวจย่อยยับ เขายืนยันหนักแน่นว่า ไม่รู้เรื่องด้วย พยายามโยงเป็นลูกน้องเก่า ทราบแค่ทนายเป็นคนเอามาปล่อย ส่วนตำรวจคนไหนเอาคลิปมาให้ เป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงต้องจัดการ เราจะไม่เข้าไปยุ่ง เพราะไม่มีอำนาจหน้าที่
“ เรียนตรงๆ ว่า ทุกความขัดแย้ง จะวกมาที่ผมหมด ผมก็ไม่เข้าใจว่า เพราะอะไร ทุกเรื่องทุกราว เวลาเกิดเหตุ จะต้องมาที่ผม ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร ต้องกราบเรียนตรงๆ แล้วทุกวันนี้ พยายาม เก็บตัวเงียบ แล้วทำงานตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบหมาย” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ว่า
เขาอธิบายด้วยว่า จริง ๆ เป็นคนอารมณ์ดี เป็นคนธรรมะธัมโม ไม่ได้ไปทำอะไรใคร แต่ว่า การทำหน้าที่ในการปราบปรามจับกุม อาจจะทำให้คนถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง ยืนยันว่า ยึดหลักผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก อาจจะถูกใจคนบ้าง ไม่ถูกใจคนบ้าง อาจจะกระทบสิทธิบ้าง ตราบในก็ตามที่ยังยึดหลักการทำงานเพื่อแผ่นดิน เพื่อประเทศชาติ เพื่อราชบัลลังก์ มั่นใจว่า ยังไงความดี ต้องเป็นเกราะป้องกันตัวเรา
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ย้อนกลับมาตอบข้อซักถามของดนัย เรื่องคนปล่อยคลิปคลุมถุงฆ่าในเซฟเฮาส์โรงพักเมืองนครสวรรค์ที่มีข่าวว่า พ.ต.อ.ระดับ ผู้กำกับ ชื่อเล่น ก เป็นลูกน้องเก่าจริงหรือไม่ โดยยอมรับว่า ชื่อ ก เป็นอดีตลูกน้อง คือถ้าไม่ยอมรับ เหมือนว่า โกหก ต้องพูดกันแบบตรง ๆ ในเมื่อเราเคยใช้ แล้วเป็นลูกน้องในใต้บังคับบัญชา แต่ไม่เคยไปถาม ไปสนใจว่า จะปล่อยหรือไม่ปล่อย ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ประเด็นสำคัญ คือ เรื่องนี้มันเสียหายต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“ ใครทำอะไร ก็ต้องว่าไปตามนั้น ใครทำอะไรก็ต้องได้อย่างนั้น ส่วนตัวทุกวันนี้เฉพาะที่โดนเยอะแยะไปหมด ได้กลับมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกรอบ ตั้งใจกับตัวเองไว้แล้วว่า จะไม่ทำอะไรที่ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย แล้วจะไม่ทำอะไรเกินกรอบที่ผู้บังคับบัญชา พยายามเก็บเนื้อเก็บตัว เนื่องจากเราอาจจะยังอายุน้อย แล้วเป็นที่เพ่งเล็ง ผมเข้าใจในสังคม ทุกสังคมต้องมีอย่างนี้หมด”
สำหรับข่าวการสร้างขั้วอำนาจใหม่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยการแท็กทีมกับรุ่นพี่เตรียมทหาร พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ปฏิเสธเหมือนกันว่า ไม่มี ไม่ได้คุยกับใคร ยึดหลักมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนเดียวที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“ไม่ได้ไปจับขั้วใหม่ หรือจะไปสร้างขั้วอำนาจใหม่อะไรเลย”
เขาการันตีว่า ปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีรอยร้าว ไม่มีการแบ่งแยก โดยเฉพาะในยุคของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ไม่มีความขัดแย้งอะไร การแต่งตั้งโยกย้ายนายพลที่ผ่านมา อำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเต็มมือ ไม่มีใครมาแบ่งอำนาจ
แต่แน่นอนว่า ต้องมีคนที่สมหวังน้อยกว่าคนที่ผิดหวัง
ท้ายรายการยังพูดกันถึงเรื่องลูกน้องเก่า 17 นายร้องเรียนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์แจงว่า เอาตำรวจมาช่วยงานเป็นเรื่องปกติ กระแสที่เกิดขึ้นให้มองว่า เราไม่มีลูก เพราะฉะนั้นครอบครัวไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแลเยอะ การเอาตำรวจมาช่วยงานราชการเรื่องการดุ ว่า อบรม ตักเตือน ด่าทอ ต้องมีบ้างเป็นเรื่องระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา
“แต่เราได้มีสาเหตุโกรธเคือง เรื่องการจะไปซ้อม ทำร้ายร่างกาย มันเป็นไปไม่ได้ แล้วตำรวจทั้ง 17 นายไม่ได้เอามาในเวลาเดียวกัน เช่น ผมเป็นผู้การก็เรียกมาใช้ แล้วส่งกลับ พอเป็นรองผู้บัญชาการก็ใช้ แล้วก็ส่งกลับไป เหมือนเป็นผู้บัญชาการ สรุปแล้วเมื่อผมกลับมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ตำรวจทั้ง 17 นายมีการไปถอนคำร้องถึง 10 กว่านาย แล้วในคำร้อง บันทึกไว้ด้วยว่า ถูกบังคับขู่เข็ญโดยใคร ให้มาทำแบบนี้”
จู่ ๆ กลับขุดเอามาร้องเรียนพร้อมกันทั้ง 17 นายอีก
“สิ่งเหล่านี้มันเป็นขบวนการทั้งหมด ผมเฉยๆ จะเห็นว่าผมไม่เคยออกมาโต้แย้ง สุดท้ายใครทำอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง ความจริงมันจะปรากฏเอง”
เจ้าตัวอโหสิให้หมด แล้วเดินหน้าทำงานอย่างเดียว