“สำนักงานตำรวจแห่งชาติจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ในการปฏิบัติงานใหม่ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติจำเป็นจะต้องมีความรอบรู้ทฤษฎี และแนวคิดอาชญาวิทยา เพื่อนำไปประยุกต์พัฒนามาตรฐานการทำงานที่เหมาะสมสอดคล้องกับบริบททางสังคม” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า
เนื่องจากในปัจจุบันปัญหาอาชญากรรมมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิธีการสลับซับซ้อนมากกว่าในอดีตส่งผลให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวภัยอาชญากรรมมากขึ้น
เจ้าตัวถึงเน้นให้มีการฝึกยุทธวิธีตำรวจอย่างสม่ำเสมอ สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนในพื้นที่ ได้แก่ ฝ่ายการเมือง ข้าราชการ ผู้นำทางศาสนา ผู้นำทางการศึกษา สื่อมวลชน ผู้นำชุมชน ภาคธุรกิจเอกชน ในการร่วมมือช่วยกันป้องกันอาชญากรรมในภาพรวมและส่วนของตน
นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการป้องกันอาชญากรรม ได้แก่ ศูนย์ควบคุมสั่งการ CCOC อุปกรณ์กล้องอัจฉริยะ (A.I.) พร้อมระบบปฏิบัติการ เสา S.O.S รับแจ้งเหตุ โดรน เป็นต้น
จุดเริ่มของก้าวแรกในการทำงานเชิงรุกป้องกันอาชญากรรม ตาม โครงการ SMART SAFETY ZONE 4.0 ป้องกันอาชญากรรม
โครงการที่ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ นำเสนอ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เห็นชอบให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้อนุมัติโครงการ
ส่งต่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา สบ 9 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขับเคลื่อน
นำแนวความคิดมาทดลองใช้แก้ไขปัญหาอาชญากรรม เพื่อให้ประชาชนลดความหวาดระแวงภัยอาชญากรรมลง
“พวกเขาต้องสามารถเดินตามถนน ตรอก ซอยได้อย่างรู้สึกปลอดภัย เกิดความเชื่อมั่น อุ่นใจ และปลอดภัยจากอาชญากรรมอย่างเป็นรูปธรรม” พล.ต.อ.สุวัฒน์วาดหวัง
โครงการถูกนำร่อง 15 สถานีตำรวจทั่วประเทศที่พื้นที่รับผิดชอบเป็นเมืองใหญ่ มีความเจริญทั้งด้านเศรษฐกิจ และสังคมมีความหลากหลายของประชากร
เปรียบเสมือนเป็นเหมือน “แลนด์มาร์ค” ของแต่ละจังหวัด
ประกอบด้วย สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี สถานีตำรวจนครบาลภาษีเจริญ สถานีตำรวจภูธรปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี สถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรปราการ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี สถานีตำรวจภูธรเมืองระยอง สถานีตำรวจภูธรเมืองปราจีนบุรี สถานีตำรวจภูธรปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา สถานีตำรวจภูธรเมืองอุดรธานี สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ สถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก สถานีตำรวจภูธรเมืองราชบุรี สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต สถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
ปัจจัยแห่งความสำเร็จของโครงการ พล.ต.อ.สุวัฒน์มองว่า อยู่ที่ความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนที่จะตระหนักรู้และช่วยป้องกันอาชญากรรมในมิติของตน
นับเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ร่วมขับเคลื่อนสังคมไทยให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
แม้ในอดีตจนถึงปัจจุบันตำรวจได้ใช้แนวทางการทำงานมุ่งเน้นการบังคับใช้กฎหมายเป็นหลัก พยายามจับกุมผู้กระทำผิดให้ได้จำนวนมาก แต่ไม่สามารถลดอาชญากรรมได้
กระทั่งมองเห็นความจริงที่ว่า การทำงานเพียงลำพังโดยปราศจากความร่วมมือจากประชาชนไม่อาจทำให้งานตำรวจประสบความสำเร็จ
เมื่อย้อนไปเมื่อปี 2531 เกิดแนวทางการบังคับใช้กฎหมายควบคุมกับตำรวจชุมชนสัมพันธ์ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ตรงกันข้ามอาชญากรรมในประเทศยังคงมีสถิติสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาพลักษณ์ของตำรวจในสายตาของประชาชนยังไม่ดีขึ้น
ตำรวจยังคงมี ต้นทุนทางสังคมต่ำ อยู่เช่นเดิมสะท้อนให้เห็นว่า ทิศทางของตำรวจเดินไปในทางไม่ถูกต้อง
ต่อมามีการศึกษาวิจัยแนวคิดเรื่อง “ทฤษฎีตำรวจผู้รับใช้ชุมชน (Community Policing)” ทฤษฎีที่พลิกโฉมหน้าวงการตำรวจสหรัฐอเมริกาและวงการตำรวจทั่วโลก ทำให้ตำรวจเปลี่ยนทิศทางการทำงานจากการเป็นผู้ใช้อำนาจบังคับใช้กฎหมายกับประชาชนไปเป็นหันหน้าเข้าหาประชาชน
ทำหน้าที่ปกป้องและให้บริการสร้างความคุ้นเคยให้ความจริงใจจนได้รับความไว้วางใจจากประชาชน
เมื่อประชาชนไว้วางใจก็จะให้ข้อมูลข่าวสาร บอกปัญหาและความต้องการให้ตำรวจทราบ หลังจากนั้นตำรวจกับประชาชนจะร่วมมือกันแก้ปัญหาให้ตรงตามความตรงการมากขึ้น
กลายเป็นกรอบความคิดด้านป้องกันอาชญากรรมและอาชญาวิทยามาผสมผสานให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถาพสังคมและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยในทุกมิติ ก่อนจัดทำ โครงการ SMART SAFETY ZONE 4.0 นำร่องในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และเขตพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1-9 เป็นลำดับแรก
มีเป้าหมายคือ การพัฒนารูปแบบวิธีการป้องกันอาชญากรรมเชิงรุกโดยใช้นวัตกรรมและยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ตามแนวคิดเรื่อง “เมืองอัจฉริยะ”
ยกระดับการป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่สาธารณะ ผสมผสานทฤษฎีและแนวคิดเรื่องการป้องกันอาชญากรรมและอาชญาวิทยา ยกระดับการทำงานของตำรวจก้าวสู่ยุคดิจิทัล บูรณาการการทำงานระหว่างภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ระบบราชการท้องถิ่น และสำนักงานตำรวจแห่งชาติในด้านป้องกันอาชญากรรม
ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
ตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ ประชาชนในพื้นที่มีความหวาดกลัวภัยอาชญากรรม ไม่เกินร้อยละ 40 เชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 มีการนำนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้ในการปฏิบัติงานของโรงพักอย่างเป็นรูปธรรม จัดประชุมเครือข่ายการป้องกันอาชญากรรมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
ร้อยละของสถิติคดีอาญากลุ่มที่ 1 และ 2 ในพื้นที่นำร่องลดลงเมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างช่วงเวลาก่อนและหลังการเข้าร่วมโครงการ
ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน
ภาพลักษณ์ตำรวจที่กำลังติด “ลบ” จะย้อนกลับมาเป็น “บวก”ได้ไหม