ไม่ใช่ปี “หมู” แต่ตำรวจต้องเป็น “กูรู” มีองค์ความรู้และเชี่ยวชาญทุกด้าน นอกจากภารกิจประจำวัน “พิทักษ์สันติราษฎร์”
แบกเอาความทุกข์ของชาวบ้าน ขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง เอาไปกองบรรจุอยู่เต็มไม้เต็มมือ เพียงเพราะคำว่า “หน้าที่” และคำสั่งผู้บังคับบัญชาค้ำหัวอยู่
ตั้งแต่ออกจับงู จับตัวเงินตัวทอง จับหมาบ้า กับอีกสารพัดสัตว์ประหลาด
สุดท้ายกลายเป็น “งานจับฉ่าย” ไม่มีกำลังพลและเวลาเพียงพอไปดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
งานล้นหน้าตัก ภารกิจท่วมหัว
ผู้น้อยหลายคนพากันบ่นอุบ
“มันใช่หน้างานของตำรวจไหม ทำไมต้องรับมาทำ”
ผู้เป็นนายมัก “สั่งง่าย” และปฏิบัติไม่ยาก แต่หลายคนลำบากใจที่จะทำ ทว่ายังคงก้มหน้ารับชะตากรรมตาม “ใบสั่ง” เพื่อผู้ใหญ่บางคนได้หน้า
ล่าสุดอ้างนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำชับให้ประสานปศุสัตว์กรุงเทพมหานคร /จังหวัด พาณิชย์จังหวัดหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันตรวจสอบสถานที่ “เก็บเนื้อสุกร” หรือสถานที่อื่นที่เกี่ยวข้องในพื้นที่รับผิดชอบ
หากพบการกระทำความผิดให้จับกุมและดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด
เป็นคำสั่ง “ด่วนที่สุด” พร้อมทั้งให้รายงานเป้าหมายจากการประสานงานและผลการตรวจสอบตามแบบฟอร์มรายละเอียดปรากฏตามเอกสารที่แนบมา
หลายคนงงเป็น “ไก่ตาแตก” เมื่อต้องไปลงคัดแยกความผิดเกี่ยวกับ “เนื้อสุกร” ที่กำลังสะท้อนให้เกิดความสั่นคลอนของเสถียรภาพการบริหารราชการของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ห้ามถามว่า “สุกร” คืออะไร เพราะไม่ใช่สมัย “ผู้ใหญ่ลี” นัดตีกลองประชุมเมื่อพุทธศักราช 2504
ทางการสั่งมา ต้องว่าตามนั้น
ตำรวจมีหน้าที่ “จับฉ่าย” มากกว่าไล่กวดตาม “จับโจร” โยนเผือกร้อนระดมพลชั้นผู้น้อยร่วมสมรภูมิเก็บกวาดซากหมู
ยามเศรษฐกิจวิบัติ เนื้อหมูราคาแพง ตำรวจต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จัดการด้วย
ชูงานหมู ๆ แต่ไม่รู้หมูจริงไหม