“ความยุติธรรมขั้นต้นเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ แม้แต่ผมเป็นตำรวจเองยังต้องการ”

 

ชีวิตสมัยสวมเครื่องแบบเลอะรอยคราบมลทินจากวิชามารระหว่างผู้เป็นนายปัดแข้งขัดขากันเองจนตัวเองพลอยได้รับผลกระทบ โดนดองอยู่หลายปี

...ไพรัช สุภาสวัสดิ์  ชาวบ้านอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี พลิกผันมาเป็นตำรวจ เพราะเห็นภาพพ่อทำงานโรงไม้ถูกฟ้องคดีอาญาหาว่า ลักทรัพย์ มีนายตำรวจเข้ามาผลักอก ข่มขู่จะยึดทรัพย์บ้านทั้งหลัง ครอบครัวถึงอยากให้เป็นตำรวจ ทันทีที่จบมัธยมต้นโรงเรียนวัดน้อยใน ไปเรียนกวดวิชาสอบเข้าเตรียมทหารรุ่น 8 แยกเหล่าโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 24  บรรจุลงตำแหน่งผู้บังคับหมวด สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองชุมพร ก่อนปรับเป็นรองสารวัตรสอบสวน ทำคดีอุกฉกรรจ์แรกจำผู้ต้องหาได้ถึงทุกวันนี้ ชื่อนายแขก ชื่นแมน เอามีดพร้าฟันพี่เขยตายคาที่

เจ้าตัวเล่าว่า มีผู้หมวดเก่ารุ่นพี่คอยประคองสอนให้ทำสำนวน แม้ผู้ต้องหารับสารภาพ แต่ต้องทำให้ดี เพราะว่า คดีที่มีอัตราโทษเกิน 3 ปี ต้องสืบให้ชัดก่อนว่า มีความผิดจริง ไม่ใช่แค่คำรับสารภาพ ต้องทำแผนประกอบสำนวนการสอบสวน ผู้พิพากษาตัดสินจำคุกเหลือ 8 ปีครึ่ง ก่อนมาทำคดีฆ่าเจ้าหน้าที่สรรพสามิต เป็นคดีใหญ่ของชุมพร ได้ประจักษ์พยานเป็นผู้หญิงบาร์ถึงขนาดเอาตัวไปเก็บเซฟเฮาส์ ก่อนจับกุมผู้ต้องหาได้

ประสบการณ์วัยหนุ่มยังสอนบทเรียนสำคัญอีกว่า ได้รู้จักพบปะกับพวกมีอิทธิพลของปากน้ำชุมพรเคยถามกันต่อหน้าว่า ทำธุรกิจลักลอบขนของหนีภาษีหรือไม่ ได้รับคำตอบว่า ไม่ ปรากฏว่า สารวัตรใหญ่อยากใช้กำลังเรา อ้างมีสายให้ข้อมูลมา ไม่ได้บอกเป้าหมาย เราคิดว่า ไปจับซ่องโสเภณี กลับพาเข้าค้นบ้านผู้มีอิทธิพลรายนี้ เล่นเอาเสียวสันหลัง เพราะพัวพันยาเสพติดอีก

อยู่ชุมพรเกือบ 5 ปี พ.ต.อ.พิงพันธุ์ เนตรรังษี เป็นรองผู้บังคับการมาตรวจราชการ ร้อยเวรพากันหนีไม่อยากสู้หน้าแล้วเอาสำนวนฝากไว้ที่เขา ทำไปทำมาโดนใจผู้เป็นนาย พอขึ้นเป็นผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธร 4  ถึงชวนให้รับผิดชอบตำแหน่งนายเวรอยู่จังหวัดสงขลา เรียนรู้งานอำนวยการ กระทั่งกรมตำรวจปรับโครงสร้างอีกรอบแบ่งกองบังคับการตำรวจภูธรเขต ขึ้นตรง 4 กองบัญชาการตำรวจภูธร ได้ลงเป็นรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนนทบุรี ปีเศษขยับไปโรงพักท่าหิน พื้นที่ไข่แดงของเมืองลพบุรี

“เป็นรองสารวัตรหัวหน้าสถานี ผมแปลกไปเลย เพราะใครก็อยากไปอยู่ พวกจ้องกันตาเป็นมัน แต่เรื่องงานผมเคี่ยวอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา แม้จ้องดูว่า ผมจะเพลี้ยงพล้ำหรือไม่ นึกว่า ผมไม่มีท่า นึกว่า ผมจะมาเอาตังค์ซ่องกะหรี่ ไม่ใช่ ผมไม่ยุ่งเกี่ยวเลย ยอมรับว่า ตอนนั้นอยากเป็นถึง พล.ต.อ.ท่าเดียว ไม่ได้คิดแสวงหาผลประโยชน์ พออยู่ได้ไม่กี่เดือน กรมตำรวจยกฐานะเป็นสารวัตรเดี่ยว ส่งผลให้เลื่อนเป็นสารวัตรคุมท่าหินยาว 4 ปีเลย” พ.ต.อ.ไพรัชรำลึกอดีต

ต่อมา พล.ต.ท.องอาจ ผุดผาด ขึ้นตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายอำนวยการกรมตำรวจชวนกลับไปเป็นนายเวรอีกครั้ง หลังเคยเจอหน้าใช้งานกันสมัยอยู่ภาคใต้ มีเวลาเตรียมตัวตัดสินใจแค่ 7 วัน มีโอกาสทำคดีทุจริตยางที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี อาศัยประสบการณ์เป็นพนักงานสอบสวนเก่า เหมือนตอนทำสำนวนคดีทุจริตโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าสมัยเป็นรองสารวัตรสอบสวนโรงพักเมืองนนทบุรี ได้นั่งอ่านแฟ้มเอกสารมากมายประดับคลังความรู้ในหัวสมอง

หลังจากนั้นคืนถิ่นเก่าลงเป็นสารวัตรจราจร สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนนทบุรี ปีเดียวย้ายไปอยู่โรงพักทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ก่อนขึ้นสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี พ.ต.อ.ไพรัชเล่าว่า มีข่าวสารวัตรใหญ่โรงพักพัทยา จังหวัดชลบุรี ถูกคำสั่งย้ายสายไฟแลบ ยังสังหรณ์ใจอยู่ว่าอาจต้องไปแทน ไม่นานอธิบดีเภา สารสิน มีคำสั่งให้ไปอยู่เป็นหัวหน้าโรงพักพัทยา

“เป็นสารวัตรใหญ่พัทยาคนแรกนะที่ไม่เคยวิ่งเต้นไปอยู่ หลายคนได้รับการเสนอชื่อ แต่กลัวพลาด ผู้บังคับบัญชาจะโดนหางเลขไปด้วย ที่ประชุมถึงให้ผมไปอยู่ คงมองจากผลงานตอนเป็นสารวัตรจราจรเมืองนนทบุรีน่าจะเหมาะสมที่สุด นายบางคนบอกว่า น่าจะภูมิใจนะ ที่ประชุมลงมติให้คุณหมดเลย ส่วนผมก็ไม่เคยคิดอยากไป  ผมอยู่บ้านโป่งกำลังสบายกับงานบริหารโรงพัก”

ทำไปทำมากลายเป็นคนแปลกหน้าริมชายทะเลภาคตะวันออก พ.ต.อ.ไพรัชบอกว่า ต้องไปแก้ปัญหาที่หมักหมม เกี่ยวกับขบวนการหากินกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ลวนลามฝรั่ง มีตำรวจเข้าไปกลั่นแกล้งบ้าง เช่น ค้นห้องยัดยาเสพติด เรียกเงิน ทำกันเป็นแก๊งจนจัดการเบ็ดเสร็จเรียบร้อย พวกเสมียนเวรรู้ว่า เราเป็นนักบริหาร นักพัฒนา อยากให้โรงพักพัทยาประกวดโรงพักดีเด่น เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยส่ง ไม่กล้าจะส่ง เลยตั้งเป้าไว้ แต่ทุกคนต้องร่วมมือกัน

เขาปรับเปลี่ยนรถสายตรวจใหม่หมด เข้าอู่ทำสี เปลี่ยนเป็นสีเลือดหมู ประตูขาว มีตราโล่ตรงประตู เป็นโรงพักแรกในประเทศไทยที่นำร่อง ติดไซเรน ติดแอร์ ส่วนรถมอเตอร์ไซค์สายตรวจต้องสีแดง หมวกกันน็อกต้องมีสีทองระบุสังกัดพัทยา มีทั้งหมด 22 คัน สรุปเป็นกองทัพเปิดตัวสวยงาม คณะกรรมการตรวจโรงพักดีเด่นยังทึ่ง เอามาเรียงแถวหน้าโรงพัก มีรถเบนซ์นำขบวนอีกคัน รถสายตรวจ 7 คัน มอเตอร์ไซค์สายตรวจและจราจรรวม  61 คัน เชิญตัวแทนสื่อมวลชนจากส่วนกลางไปด้วย

อดีตสารวัตรใหญ่เมืองพัทยาเล่าอีกว่า เราต้องรู้และเข้าใจวิธีการนำเสนอ ระหว่างแจงในห้องประชุมทำเหมือนโรงแรม มีพนักงานเสิร์ฟผ้าเย็นอย่างดี ถึงกระนั้น เราบรรยายกลางที่ประชุมว่า ความจริงโรงพักดีเด่น ไม่สามารถแข่งขันกันได้ เพราะว่า โรงพักแต่ละจุดมันไม่เหมือนกัน โรงพักมีพื้นที่มาก คดีก็มาก การบริหารงานจะเป็นอีกอย่าง แต่เราประกวดโรงพักอำนวยการดีเด่น ไม่ได้ประกวดโรงพักดีเด่น ต้องการบริการดีเด่นถึงจะเหมาะกว่า เพราะฉะนั้นพัทยาจะพัฒนาไปในเรื่องของการบริการดีเด่นเท่านั้น ไม่มีโอกาสทำอย่างอื่นได้ จะมาปลูกผัก ปลูกหญ้าแบบโรงพักอื่นไม่ได้

“ท่านรองสนั่น ตู้จินดา ไม่เคยชมใครเลยนะ แกบอก ไอ้ห่าเป็นการสรุปที่ดีที่สุดเท่าที่เคยฟังมา ผมถึงกับโอ้โห ขนาดนั้นเลยหรือ เพราะท่านไม่เคยพูดอย่างนี้กับใคร แกตบโต๊ะเลยนะว่า ดีที่สุดในประเทศไทย” พ.ต.อ.ไพรัชเล่าถึงที่มาของโรงพักดีเด่นที่ทำได้สำเร็จตามเป้า และยังสามารถได้ถึง 2 ปีซ้อนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์โรงพัก พล.ต.อ.ไกรสุข ศรีสุข เป็นกรรมการไปตรวจยังแซวว่า น่าจะไปแข่งกับโรงพักที่ประเทศฝรั่งเศสได้เลย

คว้ารางวัลประกวดโรงพักดีเด่น 2 ปีติดกันปกติจะได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่ง แต่โชคไม่ดี เพราะอาวุโสไม่ถึง ก่อนย้ายเป็นรองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสิงห์บุรี เป็นรองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีเขต 2 รับผิดชอบศรีราชา บางละมุง สัตหีบ กระทั่งมีการปรับโครงการสร้างกรมตำรวจอีกรอบ ยกระดับกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดขึ้นเป็นกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ต้องขยับเป็นรองผู้กำกับการอำนวยการกองบัญชาการตำรวจภูธร 1 และขึ้นผู้กำกับการสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน กองบัญชาการตำรวจภูธร 1 ไปอยู่สำนักงาน พล.ต.ท.สุริยะ โมรานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร  1 ทำหน้าที่เสมือนแม่บ้าน

พ.ต.อ.ไพรัชยอมรับว่า ตอนนั้นดังมาก ใครจะโยกย้ายวิ่งเข้ามาหาหมด มีผลไม้มาตามฤดูกาล เราไม่เคยเอาเงินใคร มีแต่ช่วยรุ่นพี่รุ่นน้องเท่าที่ช่วยได้ ใครต่อใครมากันเต็ม ทีนี้พอคนไม่ได้ตามใจปรารถนาก็โกรธ ใส่ความป้ายสีกันต่าง ๆ นานา ปล่อยข่าวเรื่องรับเงินรับทองวิ่งเต้น ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คนที่ไม่รู้จริงพูดกันไปเรื่อย อยู่กับท่านสุริยะมา 2 ปี เข้าปีที่ 3 พยายามบอกท่านว่า อย่าอยู่เลยเดี๋ยวจะยุ่ง เพราะกระแสมาไม่ค่อยดี มีคนอยากดันเอาตำแหน่งผู้บัญชาการ

“แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คาด ผมโดนก่อนคนแรกลงหนังสือพิมพ์หาว่า รับเงินซื้อตำแหน่ง เรียนท่านสุริยะแล้ว แต่ท่านไม่เข้าใจว่า บ้านติดกัน เวลาไฟไหม้เดี๋ยวก็ลามไปถึงบ้านท่าน เพราะเจาะจงตีผมไปกระทบท่าน ตีอยู่นาน 7 วันมีชื่อพาดเพิงเป็นผู้มีอิทธิพลอยู่แก๊งเนกไทกรมตำรวจ พอตกบ่ายเจอคำสั่งสำรองราชการ เล่นเอาชีวิตสะดุด ตลอดชีวิตราชการไม่เคยมีมลทินมัวหมอง มีการขุดคุ้ย ทำหนังสือถึงธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบบัญชีกันยกใหญ่จะเอาผิดให้ได้” พ.ต.อ.ไพรัชว่า

เขายืนยันชนวนเหตุเป็นเกมเลื่อยขาเก้าอี้ พล.ต.ท.สุริยะ โมรานนท์ จากกลุ่มคนหวังจะขึ้นเสียบตำแหน่งแทน โยงใยใส่ความให้เขาเลอะเปื้อนเครื่องแบบเพื่อดิสเครดิต ต้องไล่ชี้แจงตัวเลขบัญชีธนาคารตามข้อเท็จจริง เพราะเราไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง แต่มีบางคนพยายามบิดเบือนข้อมูล “ผมถึงกับตอกกลับไปว่า ทำแบบนี้เท่ากับฆ่าคนสองคนเลยนะ เป็นพล.ต.ท.รุ่นพี่คนหนึ่ง กับคนที่เคยเคารพรักนับถืออย่างผม กว่าจะกลับมาพ้นมลทิน”

“ผมบอกไปว่า นักเรียนนายร้อยตำรวจที่จบมาเกือบทุกคนอยากเป็น พล.ต.อ.อยู่แล้ว แต่ผมคงไม่ได้ถึงจุดนั้น ช่างมัน ขออโหสิ ขอให้จบกันชาตินี้นะ  แต่ก็โดนฟ้องคดีข้อหายักยอกเงินค่าคอมพิวเตอร์จำนวน 1 แสนบาท สอบเจ้าหน้าที่พัสดุให้ระบุตามท้องเรื่องว่า ไม่มีคนเอาเงินไปจ่าย กล่าวหา ผมอมเงิน ผมกลายเป็นตัวเหี้ยในสายตานายไปเลย ผมต้องหาอัยการสูงสุด เล่าเรื่องราวที่มาที่ไป มีหลักฐานหมด”

สู้คดีกันนาน 13 ปีกว่าจะเรียกความบริสุทธิ์กลับคืนมาเมื่อศาลยกฟ้อง พ.ต.อ.ไพรัชว่า ชีวิตราชการเหลือแค่ 4 ปี  เลื่อนตำแหน่งไม่ได้จมอยู่กับตำแหน่งผู้กำกับการอาวุโส คำนวณเวลาที่เหลือเป็นรองผู้บังคับการไปเรียนโรงเรียนผู้การเหลือ 3 ปีน่าจะลุ้นนายพล แต่ดวงไม่ดีอีก เป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรองครักษ์ จังหวัดนครนายก ถึงเวลาแต่งตั้งโยกย้ายชื่อหลุด ต้องอยู่ที่เก่า แม้อาวุโสอันดับแรกของภาค มีคนยุให้ฟ้องตามกฎของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ เรามาไตร่ตรองดูแล้ว หรือว่าดวงไม่ให้เราเป็นนายพล  ได้แต่คิดว่า ช่างมัน ปีต่อมาขึ้นเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว คือ ไม่ทันแล้ว ก่อนไปเกษียณรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี

“เป็นอันปิดฉาก ไปเสียเวลาตรงนั้น 13 ปี ทั้งที่ไม่ได้ผิดเลย  ตอนแรกไปชี้เรื่องการแต่งตั้ง รับเงินซื้อขายเก้าอี้ พอไม่มีมูลก็ไปอ้างเรื่องอมเงินค่าคอมพิวเตอร์ 1 แสนบาท ก่อนศาลยกฟ้อง ตอนนั้นอยากเจอมากเลยคอลัมนิสต์ที่เข้าใจผิดผม อยากไปหา อยากคุยด้วย ไม่ได้ทำอะไรหรอกนะ แค่อยากพูดกับเขาว่า วันนั้นคุณรู้ไหม คุณทำลายชีวิตคนๆ หนึ่งไปโดยที่ไม่มีอะไรเลย เป็นเด็กคนหนึ่งที่ตั้งเป้าหมายอยากเป็น พล.ต.อ. อยากจะก้าวหน้า ถ้าคุณปล่อยเขาอยู่ในกรมตำรวจต่อไป อาจจะมีอะไรดีๆ ให้กับประชาชนก็ได้” อดีตรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีระบายความรู้สึกที่อัดอั้นมานาน

เจ้าตัวเชื่อมั่นในศักยภาพ เพราะเป็นคนที่หัวพัฒนา ไม่เคยอยู่นิ่ง อาจปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกมากมาย ทั้งชีวิตไม่เคยรับเงินแต่งตั้ง มีแต่ช่วยรุ่นน้อง กลับโดนแอบอ้าง รู้สึกเสียดายเวลาที่ต้องสูญเสียไปกับมลทิน เหมือนปัจจุบันที่พยายามรวบรวมข้อเขียนเกี่ยวกับการปฏิรูปตำรวจเก็บไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่องค์กรตำรวจในอนาคต

นายตำรวจวัยเกษียณแสดงความเห็นว่า ชอบพูดกันเสมออยากเป็นประเทศไทย 4.0 หรือ 5.0 แต่บางเรื่องยังทำไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปตำรวจ ครั้งหนึ่งเคยแอบเข้าไปฟังกลุ่มสัมมนาเรื่องดังกล่าว เหมือนเอาคนเกลียดตำรวจมาด่าตำรวจ จริง ๆ แล้วไม่ต้องเอาคนพวกนี้มา เอาตำรวจที่มีใจเป็นธรรม เป็นกลาง ไม่เข้าข้างพวกเดียวกันจะรู้ปัญหาทั้งหมด ตั้งแต่ขั้นตอนการทำงานที่ล่าช้า พูดจาไม่ดี ร้อยเวรไม่ไปทำงาน ปัญหาอยู่แค่นี้จะแก้ปัญหากันอย่างไร

พ.ต.อ.ไพรัชยกตัวอย่างมีคนร้ายเข้าบ้านตอนตีสองจะทำอย่างไร โทรไปแจ้ง 191 กว่าสายตรวจ และร้อยเวรจะมาถึง คนร้ายหนีไปแล้ว เจอร้อยเวรบอกว่า รุ่งขึ้นค่อยไปโรงพัก สมมติผู้เสียหายทำงานธนาคาร ต้องลางานไปกว่าจะหาที่จอดรถ บางทีไม่มี ร้อยเวรเป็นใครไม่รู้ ต้องไปนั่งคอย ถ้าร้อยเวรไม่ว่างบอกให้มาใหม่จะไปกันยังไง เรื่องแบบนี้ต้องปรับปรุง ต้องทำให้จบ คนร้ายเข้าบ้านเดือดร้อนอยู่แล้วยังเสียเวลาขับรถไปโรงพัก ต้องไปทำงานอีก เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ที่เป็นสิ่งที่ชาวบ้านไม่ควรต้องรอ

“ทุกคนอยากปรับปรุงงาน แต่ไม่รู้แก่นแท้ของการทำงานว่า จะต้องทำอย่างไร ทำไมไม่ทำส่วนนี้ให้มันสั้น ให้มันง่าย ไม่ใช่ว่าคุณย่ำเท้าเดิมอยู่ บอกว่าจะแก้ไข พูดกันไปเรื่อยเลย พอไปแก้ไข แก้ไปแก้มาก็ไปทับซ้อนกับส่วนเรื่องการแต่งตั้งตำรวจไม่ถูกต้อง ไปโน่นอีกแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวข้องเลย ทั้งที่ในส่วนของการบริการประชาชนต้องทำให้ได้ แล้วมันจะสามารถแก้ไขได้ แต่ไม่มีใครพูดแบบรู้จริง ความยุติธรรมขั้นต้นเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ แม้แต่ผมเป็นตำรวจเองยังต้องการ อย่างเวลาตีสองเราจะโทรไปหาไอ้น้องคนนั้นคนนี้ให้มันมาช่วยได้หรือ รู้จักใครก็เท่านั้น ไม่มีประโยชน์ มันต้องไม่มีเส้นสาย ทุกคนต้องมีเท่ากันหมด”

เขายังบอกว่า ตั้งแต่ทำงานมาปี 2514 จนถึงปัจจุบัน การปรับปรุงการทำงานไม่เคยเปลี่ยนแปลง ดูแบบอย่างกระทรวงการต่างประเทศทำไมสมัยก่อนทำหนังสือเดินทางยุ่งยาก เสียเวลา เดี๋ยวนี้ใช้เวลาไม่นาน  งานรับแจ้งความบนโรงพักถึงต้องปรับปรุง มีคนรับเรื่องแบบไฟฟ้า ประปา รับร้องทุกข์แล้วส่งต่อพนักงานสอบสวน เป็นแผนกรับแจ้งความ นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ แต่คนรู้จักเทคโนโลยีไม่โตถึงขึ้นผู้บริหาร ไม่มีอำนาจพอจะพูด พอจะโตไปก็ยุ่งเรื่องอื่นเกี่ยวกับวิ่งเต้นหาเส้นสาย ไม่อยากพูดแล้ว เพราะไม่เกี่ยวกับหน้าที่นั้นแล้วจะต่อสู้ไปเพื่ออะไร นี่แหละเป็นปัญหาหมักหมมมานาน

อดีตนายตำรวจคนดังเสนอต่อว่า อีกปัญหาเป็นยาหม้อใหญ่มาก เรื่องดำคดี ทำไมต้องดำคดี เพราะเป็นคดีไม่รู้ตัวผู้กระทำความผิดหายไปเกิน 60 เปอร์เซ็นต์ ไม่รู้จะทำอย่างไร ถึงไม่ลงเลขคดี เคยเจอมากับตัวสมัยอยู่เมืองนนทบุรี คนร้ายชิงทรัพย์ปั๊มน้ำมันของนายพลตำรวจ เด็กปั๊มแจ้งความแล้วร้อยเวรดำคดี เมื่อไม่มีแผนประทุษกรรม ฝ่ายสืบสวนก็ไม่รู้เรื่อง คนร้ายชะล่าใจก่อเหตุอีก ปั๊มเดิมถึง3 ครั้ง คราวนี้เรื่องถึงหูนายพลเจ้าของปั๊ม ท่านโกรธมาก เล่นงานกันยกใหญ่

เหตุผลต้องดำคดี พ.ต.อ.ไพรัชชี้ว่า เพราะร้อยเวรรับภาระอยู่คนเดียว การทำสำนวนไม่มีตัวผู้ต้องหา หรือจับตัวคนร้ายไม่ได้ ต้องมีรายละเอียดในสำนวนการสอบสวนก่อนบันทึกรายงานสรุป อาทิ คำให้การผู้กล่าวหา บันทึกสอบสวน บันทึกการตรวจที่เกิดเหตุ สมัยก่อนไม่มีพิสูจน์หลักฐานไปด้วย ตัวเองต้องบันทึกเอง แผนที่เกิดเหตุ แผนประทุษกรรมคนร้ายที่ต้องทำส่งกองทะเบียนประวัติอาชญากร พอไม่มีอะไร จับคนร้ายไม่ได้  ต้องทำสำนวน 3-4 เดือน ส่งอัยการก่อนส่งกลับมาไม่มีประโยชน์อะไรเลย

สรุปแล้วการปฏิรูปตำรวจ เจ้าตัวทิ้งทายว่า ต้องแบ่งเป็น 3 ส่วน  คือ เรื่องโครงสร้างที่ชอบพูดกัน เรื่องของการทำงาน ระเบียบต่างๆ ของตำรวจ และเรื่องของการบริการประชาชน ตรงนี้สำคัญสุดที่อยากให้เร่งปรับปรุงอย่างยิ่ง เพราะทุกคนเดือดร้อน ตอนดึกมีคนมาก๊อกแก๊กเปิดผ้าม่านดูเห็นคนร้ายอยู่จะทำอย่างไร โทรศัพท์ไปหาใคร แล้วทำไงต่อไป

“บางคนคนที่โตไม่เคยอยู่โรงพัก ไม่รู้เรื่องงานระบบ วุ่นแต่เรื่องต้องวิ่งเต้นเอาตำแหน่ง แล้วก็คิดว่ากูไม่เกี่ยว เพราะกูไม่ได้ขึ้นกับมึง กูไม่เดือดร้อน บ้านกูไม่โดนงัด หรือว่าถ้าโดนงัด เดี๋ยวไอ้ลูกน้องกูก็ต้องรีบไป งานตำรวจถึงได้เวลาต้องปรับปรุงจริง ๆ ไม่ใช่เวลานี้มันก็ยังเหมือนเดิม เหมือน 60 ปีที่แล้ว”

ไพรัช สุภาสวัสดิ์ !!!

 

 

RELATED ARTICLES