ผงะทันทีเมื่อบุกเข้าถึงรังใหญ่เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์กลางเมืองพระสีหนุ ประเทศกัมพูชา
นอกจากรวบตัวผู้ต้องหาตามหมายจับชาวไต้หวันหัวหน้าแก๊งอิทธิพลที่คุมทีมกับหัวหน้าแก๊งคนไทยแล้วยังกวาดเอาสมาชิกแก๊งคนไทยที่กำลังโทรศัพท์หลอกลวงผู้เสียหายข้ามประเทศเกินกว่าครึ่งร้อยชีวิต
ตำรวจค้นพบหลักฐานสำคัญเป็นแผ่นกระดาษบนกระดานบอร์ดระบุ “ตำรารวย” เป็นสคริปต์คำสนทนาข้อความไว้พูดหว่านล้อม “เหยื่อหัวอ่อน” ทางโทรศัพท์อยู่เต็มไปหมด
บทสนทนาโต้ตอบระหว่างสมาชิกแก๊งคนไทยกับผู้เสียหายที่หลงกลลวง
เริ่มตั้งแต่ปฐมบท อ้างว่ามีพัสดุจากบริษัทขนส่งถูกด่านของกรมศุลกากรอายัดไว้ พบสิ่งของผิดกฎหมาย ผู้ต้องหาที่ถูกจับได้ให้การซัดทอดไว้หมดแล้ว
หากใครเผลอหลวมตัว “เอ๊ะ” ส่งอาการ “จิตตก” มันจะโอนสายต่อให้พูดคุยสมาชิกทีมอีกทอดที่สมอ้างเป็นตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ ยืนยันเรื่องพัสดุผิดกฎหมายที่พัวพัน “คดีการฟอกเงิน” หากไม่สะดวกเดินทางมาแจ้งความให้ติดต่อผ่านทางไลน์
ต้อนให้เข้ามุมอับ
แลกเปลี่ยนไอดีที่มีภาพของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ติดโปรไฟล์สร้างความน่าเชื่อถือ
เข้าสถานการณ์ระบบการแจ้งความออนไลน์ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพิ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565
“จากที่ผมฟังคุณเล่ามาอาจเป็นเพราะข้อมูลของคุณรั่วไหลยะ เพราะการจัดส่งของนอกประเทศจะต้องใช้บัตรประชาชน หรือเอกสารส่วนบุคคลเพื่อยืนยันการส่ง ระบุพัสดุชิ้นนี้ถูกจัดส่งถูกต้องตามขั้นตอนและมีที่มาที่ไปชัด” สมาชิกแก๊งคนไทยพูดไปตามบทอย่างคล่องแคล่ว
การสนทนาจะเริ่มออกรสชาติเมื่อผู้เสียหายตกอยู่ในภวังค์หวั่นติดร่างแห
“ตอนนี้ทางตำรวจจับกุมได้แล้ว 21 คน ยังเหลือผู้ร่วมขบวนการอีก 100 กว่าคนที่ยังหลบหนี ในจำนวนนั้น มีหัวหน้าฝ่ายบัญชีธนาคาร ข้าราชการระดับสูง และเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ด้วยนะครับ”
แก๊งคอลเซ็นเตอร์ส่งสายข้ามแดนยังไม่ล้มเลิกความพยายามปั่นต่อว่า “คดีนี้เป็นคดีความลับพิเศษ คุณเข้าใจคดีความลับพิเศษไหม ข้อมูลตรงนี้ห้ามให้บุคคลอื่นรับรู้เด็ดขาด คุณต้องเก็บไว้เป็นความลับจนกว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะปิดคดีนี้ได้นะ แม้กระทั่ง พ่อ แม่ ญาติพี่น้องก็ไม่สามารถรับรู้ได้”
ข่มขู่สำทับด้วยว่า
“ถ้าคุณทำเบาะแส ข้อมูลรั่วไหล คนร้ายรู้ตัว การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ล้มเหลว คุณจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปข้อหาทำข้อมูลรับทางราชการรั่วไหล มันไม่เป็นผลดีต่อตัวคุณเลย”
ก่อนกระแทกโสตประสาทซ้ำ
“ตอนนี้คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีร่วมกันฟอกเงินอยู่นะ”
ต่อด้วยการส่งรูปถ่ายบุคคลที่อ้างเป็นผู้ต้องหาให้การซัดทอดเป็นตัวการใหญ่ที่ตำรวจจับได้และพบของกลางเป็นสมุดบัญชีธนาคาร บัตรเอทีเอ็ม ในจำนวนนั้นมีชื่อของผู้เสียหายอยู่ด้วย
“ผู้ต้องหาให้ปากคำว่า ซื้อสมุดบัญชีมาจากคุณในราคา 12,000 บาท บอกว่า คุณเดือดร้อนเงินจึงขายสมุดบัญชีให้เพื่อนำมาฟอกเงิน ยอดเงินที่เป็นชื่อคุณมียอดสูงถึง 8,560,000 บาท ผู้ต้องหาอ้างด้วยว่า คุณจะได้รับเงินร้อยละ 10 เปอร์เซ็นต์ของยอดที่ฟอกเงิน คือ 850,000 บาท ตอนนี้คุณได้รับเงินส่วนนี้ไปแล้วหรือยัง เงินจำนวนนี้มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน”
จิตวิทยาของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นไปตามคนเขียนสคริปต์ยิ่งกว่าฉากในละคร
“คุณรู้เห็นกับการฟอกเงินใช่ไหม”
“ไม่รู้ไม่เห็นค่ะ/ครับ” ผู้เสียหายมักตอบกลับด้วยอาการไขว้เขว พร้อมต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจในทันทีที่แก๊งคนร้ายทวนความ “แล้วทำไมสมุดบัญชีของคุณถึงไปอยู่กับผู้ต้องหาได้”
ขั้นตอนสุดท้าย คนร้ายจะโน้มน้าวให้คิดว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดำเนินการตามขั้นตอน และด้วยพยานหลักฐานที่มาจากการให้ปากคำของคนร้ายไม่เป็นผลดีต่อตัวคุณเลย”
เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจต้องโอนเงินบัญชีทั้งหมดมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเส้นทางการเงิน หากไม่มีอะไรผิดปกติจะรีบคืนให้ทันที
เป็นอันสิ้นสุดกระบวนการสนทนา หากใครตกเป็นเหยื่อพลาดพลั้งเผลอไปทำธุระกรรมทางเงินส่งให้เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์
การบุกทลายรังใหญ่เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ครั้งประวัติศาสตร์นี้ต้องยกความสำเร็จให้ ทีมงานศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( PCT : Police Cyber Taskforce) ที่มี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ขับเคลื่อนนำคณะไปหารือร่วมเจ้าหน้าที่ทางการกัมพูชาเพื่อกำจัดมิจฉาชีพออนไลน์ตั้งฐานปฏิบัติการใหญ่อยู่กลางเมืองพระสีหนุ และปอยเปต ประเทศกัมพูชา
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่ง พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง ผู้กำกับการ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 เกาะติดนานหลายสัปดาห์เพื่อตามรอยข้อมูลเป้าหมายจนแน่ชัด
นำไปสู่การตรวจค้น 2 แหล่งใหญ่ที่เมืองพระสีหนุควบคุมผู้ต้องหา 28 ราย ช่วยเหลือเหยื่อคนไทย 5 ราย อยู่ระหว่างคัดแยกอีก 28 ราย รวม 61 ราย
ส่งสัญญาณเริ่มต้นกวาดล้างต่อเนื่องเพื่อตัดวงจรวายร้ายหลอกเหยื่อผู้บริสุทธิ์ข้ามประเทศ