ใครว่าเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์จะ “สูญพันธุ์” ไปแบบง่าย ๆ เนื่องจากยังคงวนเวียนตั้งแก๊งโทรศัพท์ข้ามชาติมาหลอกเหยื่อในเมืองไทยทุกวัน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เปิดไฟเขียวให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เร่งประสานทางการประเทศกัมพูชาเพื่อกำจัดคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่เมืองพระสีหนุ และใจกลางกรุงพนมเปญ
หลังจากเปิดฉากหารือกันระหว่างทั้งสองประเทศเพื่อทำความเข้าใจในภารกิจร่วมที่จะจัดการ “คนไทย” ที่ไปเป็น “ลูกมือ” นายทุนที่อยู่เบื้องหลังต้มคนไทยด้วยกันเอง
กัมพูชายินยอมที่จะจับกุมคนไทยส่งกลับมาดำเนินคดี เพราะถือว่า คนไทยกลุ่มนี้ก็สร้างปัญหาให้กัมพูชาเหมือนกัน
ตามแนวทางการสืบสวนและประเมินข้อมูลพบคนไทยที่อยู่ในขบวนการคอลเซ็นเตอร์มากถึง 2,800-3,000 คน มีทั้งหลบหนีเข้าเมืองและเข้าอย่างถูกต้อง ตำรวจกัมพูชาเตรียมจับกุมคนไทยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกลับมาคัดแยกดำเนินคดีที่เมืองไทย
ทั้งนี้ทั้งนั้น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชากรตำรวจแห่งชาติ กำหนดดีเดย์พร้อมทีมสืบสวนเดินทางไปเริ่มปฏิบัติการกลางกรุงพนมเปญ เมืองพระสีหนุ และอีกบางเมือง ตอนต้นเดือนเมษายน 2565
มี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะเดินทางตามไปสมทบ และวางแผนเพื่อสรุปผลของยุทธการกวาดล้างเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชา
พร้อมประสานกองทัพเรือนำ “เรือรบหลวง” ขนคนไทยกลับมาคัดแยกตามระบบว่า มีใครเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ที่หลอกไปทำงานกับพวก “สมัครใจ” ไปเป็นโจรบนโลกออนไลน์
แม้ที่ผ่านมาจากหลายปฏิบัติการอาจจับได้แค่ “ปลาซิว ปลาสร้อย” ทว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หัวหน้าชุดไม่ได้คิดแบบนั้น เนื่องจากกรอบความร่วมมือระหว่างทางการของทั้ง 2 ประเทศมีความชัดเจนมาขึ้น กัมพูชายังแสดงเจตนารมณ์ร่วมกับตำรวจของรัฐบาลจีนที่จะเร่งปราบปรามให้สิ้นซาก
ขยายผลสาวไปถึงนายทุนหรือตัวการเบื้องหลังการกระทำความผิดในกัมพูชา
หากไม่เร่งกวาดเอาผิดคนไทยให้หมด เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์คงยากจะหมดไปจากรังใหญ่ในดินแดนกัมพูชา
“การจับกุมได้ครั้งละไม่กี่สิบคน ไม่สามารถยับยั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้” บางคนว่า
จำเป็นต้องจัดการให้จบสิ้นภายในครั้งเดียว