ปัญหาที่องค์กรตำรวจกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันเกิดจากการพลิกผันของโลกเทคโนโลยีที่ไร้พรมแดน
การสื่อสารของยุค 5 G บางทีส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างช่วยไม่ได้
พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 กำลังตกอยู่ในวังวน “หลุมดำ” ร่วมชะตากรรมกับ พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 พ.ต.อ.วรชาติ แสนคำ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี พ.ต.อ.จาตุรนต์ อนุรักษ์บัณฑิต ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนนทบุรี
แม้กระทั่ง พล.ต.ต.สุพิไชย ลิ่มศิวะวงศ์ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ยังไม่พ้น “บ่วงกับดัก” พาไป “จมปรัก” ที่ถูกกระแสพัดพาความน่าเชื่อถือหายไปจากปริศนาการตายของดาราสาวแตงโม–ภัทรธิดา หรือ นิดา พัชรวีระวงษ์
เหตุจาก สนิมเนื้อใน ที่มี “ไอ้โม่ง” ทำตัว “หนอนบ่อนไส้” หยิบยื่น “ดาบซามูไร” มากระซวกใส่ทำลายทำร้ายองค์กรของตัวเองจากคลิปข้อมูลภาพหลุด แชตหลุด บางช่วงบางตอนที่ไม่ได้ปะติดปะต่อให้สมบูรณ์ขึ้นมา “โหนกระแสติดลบ” กระทบเรื่องราวที่เกิดขึ้น
บทเรียนอันตรายของการสื่อสารทางแอปพลิเคชันไลน์ไร้ความไว้วางใจซึ่งกันและกันในกลุ่มคณะทำงาน
อุทาหรณ์ที่เคยสะท้อนความสามัคคีบนโรงพักเมืองนครสวรรค์พาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ “ย่อยยับ” ป่นปี้มาแล้ว
ป่วยการที่จะตามหา “ไอ้โม่ง” ที่กัดกร่อนหน่วยงานของตัวเองเพื่อความสะใจได้เตะตัดขาผู้หลักผู้ใหญ่สกัดเส้นทางการเติบโตเจริญก้าวหน้า
ไม่อยากจะตั้งคำถามว่า ทำเพื่ออะไร หรือ ทำเพื่อใคร ยอมเอาตัวแลกกับอุดมการณ์และจิตวิญญาณผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
พวกนี้ไม่ต่างนิสัย “ผู้ชายใส่กระโปรง” ที่มีอยู่ทั่วไปในสังคมปัจจุบัน
ยังดีที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับรู้ความเคลื่อนไหวในคดีมาตั้งแต่เริ่มต้นถึงไม่โอนอ่อน “ร้อนไม่ตามกระแส” กดดัน “ไล่เบี้ย” ให้ “ฟันผิด” คณะทำงานสืบสวนสอบสวนคดีแตงโมไม่ชอบมาพากลเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
เจ้าสำนึกสีกากียืนตามหลักการไม่สะทกสะท้านเสียงนกเสียงกา
“ไม่มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จ” แม่ทัพปทุมวันออกโรงการันตีให้ลูกน้อง
เขาบอกว่า ตำรวจมีการสอบสวนในรูปแบบคณะกรรมการสอบสวนชุดใหญ่ และเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมทุกอย่าง แต่กระบวนการสอบสวนคงไม่สามารถนำพยานหลักฐานต่าง ๆมาถกเถียงกันในสื่อสังคมออนไลน์ได้
“หากคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลจะนำพยานหลักฐานไปต่อสู้คดีกันในชั้นนั้น เชื่อว่าเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วคดีจะคลี่คลายตอบข้อสงสัยของสังคมได้”
พล.ต.อ.สุวัฒน์ยกตัวอย่างประสบการณ์ที่เจอมากับตัวเองในคดีข่มขืนฆ่าแหม่มสาวชาวอังกฤษกับเพื่อนชายที่เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานีเมื่อหลายปีก่อนที่เป็นประเด็นใหญ่กว่า เนื่องจากมีความเกี่ยวพันระหว่างประเทศ มีหน่วยงานตำรวจจากประเทศอังกฤษรวมถึงสถานทูตเข้ามาควบคุมตรวจสอบการทำงานของตำรวจไทย
“ขณะนั้นสังคมก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับการทำงานของตำรวจว่า มีการทำงานไม่ถูกต้อง ช่วยเหลือผู้กระทำความผิด แต่เมื่อขั้นตอนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มีการพิจารณาคดีในชั้นศาลและศาลมีคำสั่งประหารชีวิตผู้กระทำความผิดตามพยานหลักฐาน ทุกหน่วยงานระหว่างประเทศก็ยอมรับในการทำงานของตำรวจไทย”
แต่สังคมกลับไม่ได้มาพูดถึงในประเด็นนี้
ผู้นำตำรวจมั่นใจว่า หลังมีการพิจารณาคดีในชั้นศาลคดีแตงโมจะเป็นในลักษณะเดียวกัน
ส่วนปัญหาสนิมเนื้อในว่าด้วยหนอนบ่อนไส้เอามาโจมตีตำรวจ พล.ต.อ.สุวัฒน์ไม่ได้มองข้าม เมื่อสั่งให้ตรวจสอบแล้วว่า หลุดออกไปทางช่องทางใด และใครเป็นผู้นำออกไปเผยแพร่
“นำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงพาดพิงให้การทำงานของตำรวจเสื่อมเสีย มีความจำเป็นต้องพิจารณาใช้กฎหมายที่มีอยู่ในการดำเนินคดีเพื่อปกป้องการทำงาน โดยให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาตามความเหมาะสม” เจ้าตัวไฟเขียวให้เช็กบิล
ให้เหตุผลว่า หากตำรวจนิ่งเฉย ไม่บังคับใช้กฎหมาย เท่ากับยอมรับว่า ข้อกล่าวหานั้นเป็นความจริง