บทพิสูจน์คดีเกาะเต่า

 

วิบัติมหากาพย์คดีการตายของดาราสาว แตงโม-ภัทรธิดา หรือ นิดา พัชรวีระพงษ์ พิสูจน์บทเรียนที่เกิดขึ้นจากกระแสโซเชียลมีเดียมาทำลายความน่าเชื่อของกระบวนการยุติธรรมจริงหรือ

บทเรียนของกลุ่มผู้วิพากษ์วิจารณ์วิเคราะห์คดีที่เป็นไม้เบื่อไม้เบากับตำรวจมาตลอดจริงไหม

สุดท้ายใครจะรับผิดชอบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

เหมือนที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมาแสดงความคิดเห็นเปรียบเทียบคดีฆาตกรรมชาวต่างชาติ 2 ศพบนเกาะเตาะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อหลายปีก่อน

“ขณะนั้นสังคมก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับการทำงานของตำรวจว่า มีการทำงานไม่ถูกต้อง ช่วยเหลือผู้กระทำความผิด แต่เมื่อขั้นตอนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มีการพิจารณาคดีในชั้นศาลและศาลมีคำสั่งประหารชีวิตผู้กระทำความผิดตามพยานหลักฐาน ทุกหน่วยงานระหว่างประเทศก็ยอมรับในการทำงานของตำรวจไทย”

แต่สังคมกลับไม่ได้มาพูดถึงในประเด็นนี้

นักวิชาการทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์บางคนออกมาการหักล้างพยานหลักฐานในคดีจนพากันปั่นป่วนไปพักใหญ่

ด้วยเพราะสังคมหลงคารมของ นักนิติวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ที่ประกาศแสดงความคิดเห็น “ชี้นำ” ความขัดแย้งผลชันสูตรของตำรวจ

ย้อนลำดับเหตุการณ์ 15 กันยายน 2557 พบศพนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ 2 ราย คือ น.ส.ฮันนาห์ วิกตอเรีย อายุ 24 ปี สัญชาติอังกฤษ และ นายเดวิด วิลเลียม อายุ 24 ปี เพื่อนชายเป็นนักท่องเที่ยวสัญชาติเดียวกันบริเวณหาดทรายรี  เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี

อีก 3 วันต่อมาเจ้าหน้าที่พบข้อมูล “ดีเอ็นเอ” คนร้ายจากคราบอสุจิ ก่อนผู้พรมตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอผู้ต้องสงสัยที่เข้าข่ายและจับกุมแรงงานพม่า 2 คนบริเวณท่าเรือสุราษฎร์ธานี

นักนิติวิทยาศาสตร์คนที่ว่าไปให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับสื่อหลายช่องเกี่ยวกับการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รีบด่วนสรุปตัดสินการตาย การเก็บรวบรวม-ส่งพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน

กังขาคดีเกาะเต่าไร้แพทย์นิติเวชร่วมเก็บหลักฐาน 

มีพ่อแม่ผู้ต้องหาร้องเรียนว่า ถูกซ้อมให้รับสารภาพ

กระทั่งอัยการส่งฟ้องผู้ต้องหา

ปรากฏว่า หัวหน้าทีมทนายจำเลยได้ยื่นร้องขอให้ฝ่ายโจทก์ส่งพยานหลักฐานการตรวจดีเอ็นเอให้ทาง หัวหน้านิติวิทยาศาสตร์อีกหน่วยไปตรวจสอบซ้ำ ก่อนเสนอตัวขึ้น สืบพยานศาลเกาะสมุยเป็นพยานจำเลย

ระบุดีเอ็นเอที่จอบไม่ตรงกับ 2 ผู้ต้องหาชาวพม่า

ผ่านปีเศษ ศาลจังหวัดเกาะสมุย พิพากษาประหารชีวิต นายซอลินและนายเวพิว เช่นเดียวกับ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืนประหารชีวิตทั้งคู่

28 สิงหาคม 2562 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ให้ประหารชีวิตนายซอลิน และนายเวพิว

วนกลับมาถึงคำให้สัมภาษณ์ของ นักนิติวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดงความเห็นออกสื่อ ใส่ความเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รีบด่วนสรุปตัดสินการตาย การเก็บรวบรวม-ส่งพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน

ชี้คดีเกาะเต่าเป็นคดีอำพราง

ระบุชัดว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการด่วนสรุปตัดสินการตาย โดยที่ยังไม่ได้ฟังความเห็นจากแพทย์นิติเวช ควรจะมีการติดตามแพทย์นิติเวชจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีมาร่วมตรวจชันสูตร ตรวจเก็บหลักฐาน  ข้อมูลการตายควรฟังจากแพทย์นิติเวชเท่านั้น กฎหมายของไทยกำหนดให้พนักงานสอบสวนใช้ดุลพินิจในการเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน  แล้วส่งพยานหลักฐานไปตรวจ  หลังจากผลตรวจออกแล้วพนักงานสอบสวนจะเป็นผู้ประมวลพยานหลักฐาน พนักงานสอบสวนผู้ประมวลมีความรู้เรื่องพยานหลักฐานน้อยมาก

“ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการเอาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกอย่างไปไว้ในอำนาจของตำรวจ  อีกทั้งให้ความเห็นว่าคดีนี้เป็นการตายที่มีลักษณะ  อำพราง เช่น อาจจะมีการจัดวางศพโดยเปลี่ยนจากจุดที่พบศพจริง  หรืออาจจะมีการเปลือยศพเพื่ออำพราง จำเป็นต้องใช้ความเห็นจากแพทย์นิติเวช”

นำไปสู่ประเด็นกังขาคดีเกาะเต่าไร้แพทย์นิติเวชร่วมเก็บหลักฐานอาจทำให้ได้ผลคลาดเคลื่อน อีกทั้งยังไม่มีจำลองเหตุการณ์ ทำให้เป็นประเด็นร้อนในโซเชียลมีเดีย หวังจะกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการทำคดีอาชญากรรมให้น่าเชื่อถือกว่าเดิม

โดยเฉพาะงานนิติวิทยาศาสตร์ต้องแยกจากอำนาจตำรวจ

อีกทั้งแนวทางการสืบสวนสอบสวนยังคงใช้ระบบเดิม คือ การเก็บรวบรวมพยานหลักฐานและการพิสูจน์หลักฐานต่าง ๆ อยู่ที่พนักงานสอบสวนเท่านั้น พนักงานสอบสวนยังเป็นผู้รวบรวมการทำงานทั้ง 3 ส่วนเข้าด้วยกัน

เป็นวิธีคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับหลักนิติวิทยาศาสตร์ที่อาจเป็นเพราะพนักงานสอบสวนมองว่าเมื่อพยานหลักฐานมีเพียงพอก็สามารถสรุปสำนวนคดีได้

“ส่วนตัวมองว่ากฎหมายยังต้องมีการแก้ไข โดยเฉพาะคดีลักษณะนี้ ที่ต้องใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์เป็นตัวนำ หรือเข้าไปดูในส่วนใดที่ยังไม่มีความชัดเจน ก่อนสรุปสำนวนส่งฟ้อง ขั้นตอนที่หายไปคือการจำลองเหตุการณ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนทางนิติวิทยาศาสตร์ การไม่มีขั้นตอนนี้จึงเป็นประเด็นข้อกังขาทางโซเชียลมีเดีย เพราะมีเพียงการทำแผนประกอบคำรับสารภาพเท่านั้น”

นอกจากนี้ การเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอต้องเก็บให้ถูกวิธี ถูกขั้นตอน โดยการตรวจพิสูจน์สามารถทราบผลได้ใน 24 ชั่วโมง โดยคดีต่าง ๆ มักเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ 2 ส่วน ทั้งจากพยานหลักฐานและจากบุคคล นอกจากนี้ การเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากวัตถุพยานหลักฐานยังขึ้นอยู่กับสภาพความเสื่อม ความเสียหายที่ประกอบ เช่น อุณหภูมิ สารเคมี ระยะเวลา รังสี เชื้อโรค

ฟุ้งด้วยว่า ดีเอ็นเอบนจอบ หากจอบอยู่ในน้ำ โอกาสขึ้นไม่มีเลย แต่ถ้าไม่อยู่ในน้ำแล้วตรวจไม่ขึ้น ก็อาจเพราะตรวจไม่ตรงตามตำแหน่ง ผู้ตรวจพิสูจน์ต้องเห็นศพ ถ้าเห็นศพก็จะรู้เลยว่ามันเป็นการกระหน่ำตีมากกว่า 10 คน ต้องตรวจได้ดีเอ็นเอ 100 เปอร์เซ็นต์ และพอเห็นแผลก็จะรู้กระบวนการจับอาวุธ ถ้าจำลองได้ ก็จะเก็บดีเอ็นเอได้ถูกตำแหน่ง แต่ถ้าคนที่เก็บไม่รู้ข้อมูลก็เก็บไม่ถูก ทำให้คลาดเคลื่อนได้

“ภาพรวมคดีนี้อาจเป็นตัวกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงการทำคดีอาชญากรรม เพราะของเดิมไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้ประชาชนได้ โดยเฉพาะงานนิติวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องแยกออกจากอำนาจตำรวจ ทั้งนี้หากมีโอกาสร่วมทำคดีนี้จะไม่ให้มีข้อกังขาแน่นอน” เจ้าตัวมั่นใจในความเห็น

ถึงเลือกขึ้นสืบพยานศาลเกาะสมุยเป็น “พยานจำเลย” ตรวจสอบพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ยืนยันดีเอ็นเอที่จอบไม่ตรงกับ 2 ผู้ต้องหาชาวพม่า

สุดท้ายการพิจารณาในชั้นศาลชั้นต้นพิเคราะห์ว่า แม้รายงานผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จะสรุปผลและความเห็นการตรวจพิสูจน์ว่า ดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสองไม่ตรงกับดีเอ็นเอของบุคคลเพศชายแบบผสมที่จอบของกลางหาใช่เป็นข้อสำคัญหรือเป็นข้อพิรุธไม่

พฤติการณ์แห่งคดีรับฟังได้ว่าหลังจากจำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 แล้วจำเลยทั้งสองได้ใช้จอบของกลางซึ่งเป็นวัตถุของแข็งมีคมขนาดใหญ่ตีและฟันผู้ตายที่ 2 หลายครั้งจนเป็นแผลฉีกขาดลึกถึงฐานสมองและกระดูกหน้าผากเบ้าตาซ้ายแตกยุบผิดรูป

บ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้จอบของกลางกระหน่ำตีผู้ตายที่ 2 อย่างสุดแรงจนทำให้ผู้ตายที่ 2 เสียชีวิต อันเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่า การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 2 เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ตามทางนำสืบโจทก์ปรากฏว่าผู้ตายที่ 1 ถูกทำร้ายในที่เกิดเหตุในช่วงเวลาไล่เลี่ยแทบจะพร้อมไปในคราวเดียวกับผู้ตายที่ 2 จนเป็นเหตุให้ผู้ตายที่ 1 เสียชีวิต

ทั้งรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ.11 ก็พบคราบโลหิตของผู้ตายที่ 1 ติดอยู่ที่ด้ามจอบของกลางเช่นเดียวกับผู้ตายที่ 2 ลักษณะบาดแผลบนศพผู้ตายที่ 1 ไม่ขัดแย้งและยังเข้ารอยกันได้กับจอบของกลาง

นับเป็นพฤติการณ์ที่เห็นอยู่ในตัวว่าจำเลยทั้งสองใช้จอบของกลางเป็นอาวุธชิ้นหนึ่งในการทำร้ายผู้ตายที่ 1 เพื่อความสะดวกในการข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 อันเป็นการกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 1 ตามฟ้อง

ขณะเดียวกัน ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้มีพยานหลักฐานรวมทั้งผลพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ การตรวจสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ตรงกับจำเลย ขณะที่คดีเกี่ยวกับการกระทำต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศ มีการตั้งคณะพนักงานสอบสวนเฉพาะกิจขึ้นมาโดยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ควบคุมใกล้ชิด

ในการตรวจเก็บสถานที่เกิดเหตุและพยานหลักฐานเพื่อจะติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของประเทศคืนมา  มีการตรวจเก็บดีเอ็นเอทั้งคนไทยและต่างหลายชาติที่อาจจะเกี่ยวข้องจำนวนมาก และมีการใส่ถุงมือป้องกันการปนเปื้อน ใช้น้ำยาตรวจที่มีคุณภาพ เครื่องตรวจอัตโนมัติมีมาตรฐานในการตรวจพิสูจน์ เพื่อให้เกิดความรอบคอบในการรวบรวมพยานหลักฐาน และพิจารณาดูประเด็นข้อสงสัยต่าง ๆ ทีละประเด็นโดยตัดผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปทีละคนทีละประเด็น ไม่ได้เฉพาะเจาะจงจำเลยซึ่งครั้งแรกจำเลยก็เป็น 1 ในนั้นที่ต้องสงสัย แต่เมื่อยังไม่ชัดเจนจึงยังไม่ถูกดำเนินคดี

กระทั่งตรวจดีเอ็นเอจากเยื่อบุกระพุ้งแก้มจำเลย ตรงกับการตรวจหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ จึงไม่เชื่อว่า  เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสร้างพยานหลักฐานเท็จเพื่อปรักปรำจำเลย เพราะในการสอบสวนต้องใช้เวลา , บุคคลากรจำนวนมาก รวมทั้งงบประมาณ หากจะสร้างพยานหลักฐานคงไม่ต้องให้สิ้นเปลืองทั้งบุคลากรและงบประมาณ รับฟังได้ปราศจากข้อสงสัย

ข้อฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้น

ทว่าปัจจุบันบางคนยังมาลอยหน้าลอยตามีพื้นที่ยืนอยู่ในสังคม

“หิวแสง” แสดงความเป็นกูรู กูรู้และเก่งทุกเรื่องเหมือนปราดเปรื่องเกี่ยวกับนิติวิทยาศาสตร์ “หลอกต้ม” ไปวันวัน

วิพากษ์วิจารณ์อะไรผิดถูกมั่วไปหมดแล้วยังไม่แสดงความรับผิดชอบ

ภาพ “คดีเกาะเตาะ” ถึงยังอยู่ในความทรงจำคณะทำงานสืบสวนสอบสวนหลายคน

สับสนกับโลกวิปริตผิดเพี้ยนมาถึงสำนวนคดีดาราสาวแตงโม

RELATED ARTICLES