เปิดปฏิบัติการตัดวงจรขบวนการส่งคนไทยข้ามแดนร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์

หลังจาก พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดมีนโยบายให้ความสำคัญกับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอันดับหนึ่ง เพราะปัจจุบันเป็นอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนไทยมากที่สุ ดกำชับให้ใช้มาตรการที่หลากหลายทุกมิติ  เปิดสงครามกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาศัยความร่วมมือทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน รวมไปถึงประชาชนคนไทยช่วยกันประกาศแจ้งเตือนภัยผ่านสื่อตามช่องทางต่างๆจนเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างดีทำให้ประชาชนคนไทยโดยส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้อัตราการถูกหลอกลวงลดน้อยลง

ทว่าด้วยปัจจัยหลายอย่างทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังไม่หมดไป ส่วนหนึ่งเพราะยังมีคนไทยบางกลุ่มยังเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารยังถูกหลอกลวงได้อยู่  อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของศูนย์อำนวยการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชุดที่ 5 ได้วิเคราะห์ว่า เกิดจากขบวนการหาคนไทยเข้าไปร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ตลอดเวลา จากการสืบสวนของทีมปฏิบัติการชุด 5 ศูนย์อำนวยการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เก็บข้อมูลจากเหยื่อที่ได้ช่วยเหลือกลับมาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พบว่ามีขบวนการหนึ่งใช้การ “หลอกลวง” ด้วยการโพสต์ข้อความเชิญชวนตามกลุ่มจัดหางานในเฟซบุ๊ก มักล่อลวงเหยื่อด้วย ค่าจ้างที่สูง มีสวัสดิการต่างๆ เป็นงาน “แอดมิน” ที่ไม่ผิดกฎหมาย หากมีผู้หลงเชื่อตัดสินใจสมัครงานกับขบวนการนี้แล้วจะหว่านล้อมให้อยากไปทำงาน และจะดำเนินการให้อย่างเบ็ดเสร็จตั้งแต่การเดินทาง การพาข้ามประเทศทางช่องทางธรรมชาติอย่างผิดกฎหมายข้ามไปประเทศเพื่อนบ้าน แต่เมื่อไปถึงแล้วกลับเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์และตกอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถเรียกร้อ หรือขัดขืนได้ หากใครไม่เต็มใจทำหรือมีความคิดต่อต้านจะถูกลงโทษในรูปแบบต่างๆ เช่น ถูกกักขัง ถูกทำร้ายร่างกาย ให้อดอาหาร ถูกช็อตไฟฟ้า ถูกขายต่อไปยังคอลเซ็นเตอร์แก๊งอื่นๆ

 

ทีมปฏิบัติการชุด 5 ศูนย์อำนวยการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เข้าไปแทรกซึมสืบสวนจนได้พยานหลักฐานยืนยันได้ว่า มีผู้ร่วมขบวนการนี้ 3 คนอยู่ในประเทศไทยในพื้นที่ จ.สระแก้ว คอยให้ความช่วยเหลือสนับสนุนหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวไต้หวันในประเทศกัมพูชา ในการนำพาคนไทยข้ามแดนไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาแล้วไม่ต่ำกว่า 100 คน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมาย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์  ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ  สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการกวาดล้างอย่างเร่งด่วน

ต่อมา พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 นำกำลังประกอบด้วย พ.ต.อ.สหัส ใจเย็น รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2  พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง ผู้กำักบการ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2  พ.ต.อ.ธนเสฏฐ์ ประชาชัยศรี ผู้กำกับการสืบสวน 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 พ.ต.ต.มาโนชย์ ทองแก้ว สารวัตรกองกำกับการสืบสวน 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมกับ พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจตจภูธรจังหวัดระยอง  พร้อมด้วย พ.ต.ต.ชัยวัฒน์ เสวกวัง สารวัตร (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3  ร.ต.อ.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ รองสารวัตรกลุ่มงานข่าว กองบังคับการข่าวกรองยาเสพติด ร.ต.อ.ปรมา ปราณี รองสารวัตรกองกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2  ร.ต.อ.วุฒินันต์ คงดี รองสาวัตรกองกำกับการสืบสวน 1 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพ รองสารวัตรกองกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2  ร.ต.อ.หญิง ธิดารัตน์ ผดุงประเสริฐ รองสารวัตรกองกำกับการวิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2  กับพวกร่วมกันสืบสวนและปฏิบัติการทลายเครือข่ายส่งคนไทยข้ามแดนไปทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ผ่านปฏิบัติการเชิงรุก ให้เจ้าพนักงานตำรวจอำพรางตัวเป็นสายลับสมัครทำงานประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรู้วิธีกระทำความผิดของแก๊ง

นำไปสู่ปฏิบัติการร่วมของทีมตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับชุดบูรพา 491 กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ภายใต้ยุทธการตัดวงจรขบวนการส่งคนไทยข้ามแดนไปทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้แผนให้สายลับอำพรางติดต่อเข้าสมัครไปเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ เฝ้าติดตามพฤติกรรมที่ขบวนกามารับตัวสายลับพาไปข้ามแดนอย่างผิดกฏหมาย ก่อนไล่ติดตามรถคนร้ายและได้ใช้ยุทธวิธี “คาร์บล็อก” หยุดรถคนร้ายขณะกำลังนำพาตัวสายลับไปยังช่องทางธรรมชาติในพื้นที่ อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ควบคุมตัวนายอรรถชัย มีโพธิ์ อายุ 30 ปี ที่อยู่ 199 หมู่ 1 ตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ผู้ขับขี่รถกระบะ อีซูสุ สีขาว  ทะเบียน บบ 7208 สระแก้ว ได้ที่ถนนสุวรรณศร มุ่งหน้าไปทางชายแดนไทย-กัมพูชา ตำบลอรัญประเทศ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พร้อมยึดรถที่ใช้ในการกระทำความผิดไว้เป็นของกลางในคดี

จากการตรวจสอบประวัติต้องโทษของนายอรรถชัย มีโพธิ์ พบว่าเคยถูกดำเนินคดีมาแล้ว อาทิ วันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ถูกดำเนินคดีข้อหา “เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1” ท้องที่สถานีตำรวจภูธรคลองลึก จังหวัดสระแก้ว วันที่ 14 เมษายน 2554 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ขับขี่รถยนต์สาธารณะ หรือจยย.สาธารณะ แล้วเสพ เมาสุรา ของมึนเมา หรือ ขับรถในขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะขับ” ท้องที่สถานีตำรวจภูธรวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ร่วมกันมั่วสุมในลักษณะเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ หรือกระทำการอันเป็นการฉวยโอกาสซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนหรือกลั่นแกล้งเพื่อแพร่เชื้อโรค ณ ที่ ใดๆทั่วราชอาญาจักร ร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในรา” ท้องที่สถานีตำรวจภูธรคลองลึก จังหวัดสระแก้ว วันที่ 10 มิถุนายน 2565 ถูกดำเนินคดีข้อหา “นำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย” ท้องที่สถานีตำรวจภูธรคลองน้ำใส จังหวัดสระแก้ว

ในชั้นจับกุม นายอรรถชัย มีโพธิ์ รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาว่า ได้รับการประสานงานจากผู้ร่วมขบวนการที่อยู่ฝั่งประเทศกัมพูชาให้มารับคนไทยไปข้ามพาข้ามไปประเทศกัมพูชาทางช่องทางธรรมชาติ เป็นลำคลองเล็กๆเรียกกันว่า คลองบ้านตาโจ๊ย ใกล้กับวัดป่าหนองเอี่ยนจะมีเรือพายพาข้ามแดนไป และจะมีคนจากประเทศกัมพูชามารับช่วงต่อ  ยอมรับว่า รับประสานส่งไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบนี้หลายแก๊งแล้ว และรับจ้างเช่นนี้ตกเดือนละประมาณ 15-20 คน ค่าจ้าง 6,000 บาท ต่อคน  ล่าสุดเพึ่งถูกจับกุมและอยู่ในระหว่างการประกันตัวสู้คดี แต่ก็กลับมาทำอีกเพราะทำจนชินไม่รู้จะไปทำงานอะไร

จากการขยายผลขบวนการดังกล่าวพบพยานหลักฐานความเชื่อมโยงผู้เกี่ยวข้องอีก 2 ราย ส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรปราการ ขอศาลออกหมายจับ น.ส.รุ่งฤดี อุดมดี อายุ 38 ปี ที่อยู่ 33 หมู่ 11 ตำบลกาบิน อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี  และนายพงษ์ธนา พิมพา อายุ 36 ปี ที่อยู่ 114 หมู่ 2 ตำบลบ้านใหม่หนองไทร อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 เผยว่าเป็นตัวแทนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะเป็นอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนไทยมากที่สุดในปัจจุบัน ตามนโยบาย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ใช้มาตราการที่หลากหลายทุกมิติในการทำสงครามกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์  มิตินี้เราจะตัดการลำเลียงคนข้ามไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และขยายผลจนทราบผู้ร่วมขบวนกาทั้งหมดแล้วได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับ  ขอเตือนประชาชนคนไทยที่ว่างงานอยู่ กำลังมองหางานตามเฟซบุ๊กเเพจหางานต่างๆ หากเป็นงานที่ต้องไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่จะบอกว่าเป็นแอดมิน แต่เมื่อเข้าไปแล้วก็เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ส่วนใหญ่ “เมื่อใดที่ไปเข้าร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้ว คุณจะกลับประเทศมาเยี่ยงอาชญากร มิใช่เหยื่อ” พล.ต.ต.ธีรเดชย้ำ

RELATED ARTICLES