วงกาแฟ “หอมกรุ่น” ครุ่นคิดสถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนระอุคลุกฝุ่นตลบอบอวลไปด้วยเรื่องของ “อำนาจ”
ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 รับคำร้องไว้วินิจฉัยเรื่องวาระดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะเดียวกันตุลาการเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2565 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ส่งผลให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขึ้นทำหน้าที่รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
แต่จะมีอำนาจเต็มไม้เต็มมือหรือไม่เป็นอะไรที่ต้อง “ตีความ” ตามข้อกฎหมาย
กระนั้นก็ตามถนนหลายสายกำลังเริ่มเบนเข็มเปลี่ยนเส้นทางกลับไปแน่น “บ้านลาดพร้าว 71” อีกครั้ง หลังจากเงียบเหงาซบเซาไปหลายเพลาในทุกเช้าวันอาทิตย์
แม้อาจเป็นชั่วประเดี๋ยวประด๋าวรอเกมวินิจฉัยเก้าอี้ “บิ๊กตู่” จะเพลี่ยงพล้ำหรือหาทาง “ฟอกดำ” ให้เป็น “ขาว” กลับมายืนที่เดิมได้อย่างสง่างาม
ทว่าห้วงเวลาชั่วครั้งชั่วคราวของ “ลุงป้อม” ถูกจดจ้องจะมีอำนาจ “นั่งหัวโต๊ะ” พิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจที่กำลังเข้าโค้งสุดท้ายได้หรือไม่
ทุ่งปทุมวันถึงกลับมาสู่โหมดเร้าร้อนอีกระลอก
เพราะก่อนหน้า “นายกตู่” เพิ่งเคาะระฆังนัดประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณารายชื่อผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ 13 แทน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ในวันที่ 29 สิงหาคม 2565 เวลา 14.00 น.
พร้อมกับพิจารณาถูกบัญชีระดับนายพละดับ “ผู้บังคับการ” ขึ้นไป วาระประจำปี 2565 จำนวน 77 ตำแหน่งที่ว่างลง อีกทั้งแต่งตั้งสลับปรับเปลี่ยน “สำรับทัพ” ทั่วประเทศรวม 136 ตำแหน่ง
ผลพวงจากคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจะทำ “โผนายพลสีกากี” สะดุดหยุดกึกไปด้วยหรือไม่ ยังไม่มีใครออกมาแสดงความเห็น
มีเพียง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรียืนยันว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี มีอำนาจเต็มทั้งการแต่งตั้งโยกย้าย การทูลเกล้ากฎหมายลูก
ส่วนการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ
นายวิษณุยังตอบแบบคลุมเครือไม่ชัดเจน
เล่นเอาบรรดานักวิ่ง “ชิงตั๋ว” แทบ “เปลี่ยนขั้ว” กันไม่ทัน
เมื่อวันอำนาจจะเปลี่ยนมือ
อะไรที่ว่าแน่กลับไม่แน่เสียแล้วสินะ