ผบ.ตร.จับมือนิติศาสตร์จุฬาเปิดโลกตำรวจยุค 5 G

 

ที่ห้องประชุมสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ชั้น 4 อาคารเทพทวาราวดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดโครงการ Special Law LAB “การสืบสวนสอบสวนยุค 5G” นำร่องศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง หรือ Young Lawyers – Police Engagement Pilot Project จัดโดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล  และกองบัญชาการศึกษา ที่คัดเลือกนิสิตชั้นปีที่ 2 – 4 คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 25 คนจากผู้สมัครกว่า 90 คน เข้าฝึกอบรมภาควิชาการ และภาคปฏิบัติกับตำรวจใน 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล สถานีตำรวจนครบาลพญาไท สถานีตำรวจนครบาล ห้วยขวาง สถานีตำรวจนครบาลบางเขน สถานีตำรวจนครบาลบางนา และสถานีตำรวจนครบาลพระโขนง โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผศ.ปารีณา ศรีวนิชย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมงาน

ผศ.ปารีณากล่าวเปิดงานว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอโครงการ Special Law LAB สอดคล้องกับโครงการ จุฬา Law LAB ให้นิสิตคณะนิติศาสตร์เรียนรู้จากประสบการณ์จริง เป็นเรื่องที่ดีเปิดโอกาสให้นิสิตฝึกงาน ปฏิบัติงานสืบสวนสอบสวนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจากประสบการณ์จริง ช่วยให้นิสิตที่จะจบไปเป็นนักกฎหมายยุคใหม่ เข้าใจชีวิตการทำงานจริง นำประสบการณ์มาต่อยอดพัฒนากฎหมายในอนาคต ถือเป็นมิติใหม่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติปฏิบัติตามแนวทางของสหประชาชาติ เป็นการทำงานกับภาคสังคมโดยเฉพาะเยาวชน ขณะเดียวกันยังทำให้ตำรวจเข้าใจประชาชน ผ่านนิสิตเป็นกลุ่มตัวอย่างที่มีความหลากหลาย แตกต่างช่วงวัย และสภาพสังคม

ขณะที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวในการปฐมนิเทศนิสิตที่เข้าร่วมโครงการ บรรยายพิเศษ เรื่อง “หลักการสืบสวนสอบสวนในยุค 5G” ระบุเป็นความตั้งใจเปิดโลกการทำงานของตำรวจให้สังคมผ่านกลุ่มเยาวชนที่เป็นนิสิตนักศึกษา เป็นไพลอตโปรเจ็กต์ทดลองกับนิวเจเนอเรชัน เป็นการเปิดโลกการทำงานของตำรวจให้น้อง ๆ เยาวชนได้เข้าใจ ขณะเดียวกันเราก็เรียนรู้ความคิดของน้อง ๆ เยาวชนคนรุ่นใหม่ด้วย โดยเฉพาะน้อง ๆ เป็นนิสิตที่เรียนรู้ด้านกฎหมายอยู่แล้ว หวังว่ านอกจากเรียนรู้ซึ่งกันและกันแล้ว นิสิตที่ผ่านการอบรมจะสามารถแอปพลายกฎหมายกับการทำงานจริง โดยคณะนิติศาสตร์มีโครงการ Law LAB อยู่แล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เข้ามามีส่วนร่วมจะได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน หากทำแล้วมีประโยชน์จะขยายโครงการไปในภาคประชาชนด้วย  นิสิตที่เข้าร่วมโครงการจะเข้าไปเรียนรู้การทำงานจริงของตำรวจทุกด้าน ทั้งงานจราจร การตั้งด่าน ออกตรวจ งานสอบสวน การทำงานของพนักงานสอบสวน รวมไปถึงการสืบสวน ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง เรียนกฎหมายเรียนด้านทฤษฎีมา แต่ในหลักสูตรนี้จะได้เรียนรู้ว่าจะนำกฎหมายที่เรียนมา ไปประยุกต์ใช้เมื่อปฏิบัติจริงได้อย่างไร

“เราไม่คาดหวังว่าในโครงการนี้จะเป็นการลดช่องว่างของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า แต่ขอเข้าใจกันก่อน เห็นด้วยหรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง  ขอให้เข้าใจความคิดประสบการณ์ของเจเนอเรชัน หรือทัศนคติที่แตกต่าง เพราะเชื่อว่าหากต่างมีความเข้าใจซึ่งกันและกันแล้ว สังคมจะเดินไปได้ เด็กและผู้ใหญ่อาจมีค่านิยม การเติบโตมาที่แตกต่างกัน แต่หากมีความเข้าใจกันจะทำให้สังคมสงบเรียบร้อยขึ้น น้อง ๆ เยาวชนได้ไปขยายผลต่อให้คนในครอบครัว คนใกล้ชิด เพื่อนฝูง อธิบายให้เข้าใจว่าตำรวจเขาทำอะไรกัน “น้อง ๆ จะเข้าใจการทำงานของตำรวจได้ดีขึ้น เรียนรู้ประสบการณ์จริง เอากฎหมายไปใช้ เพราะความเข้าใจเป็นเรื่องสำคัญ สังคมเราต้องเดินด้วยความเข้าใจ ไม่เห็นด้วยไม่เป็นไร ขอให้เข้าใจกัน” พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังกล่าวตอนหนึ่งว่า โลกโซเชียลมีเดียในปัจจุบัน ท่วมท้นไปด้วยข้อมูลข่าวสารไม่รู้อะไรผิด หรือถูก คนส่วนใหญ่เลือกไปตามกระแส บ้างก็ไม่รู้อะไรถูก หรือผิด ค่านิยมสังคมเปลี่ยนไป สิ่งที่เป็นรอยแตกร้าวในสังคมปัจจุบัน คือ ความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ขณะที่ ตำรวจพบปัญหาความท้าทายของโลกโซเชียลมีเดีย ข้อมูลท่วม คนเรียนรู้รวดเร็ว กฎหมายที่ออกแบบมาโบราณไม่ทันแล้ว เกิดการไต่สวนบนโลกโซเชียล เพราะไม่สามารถรอกระบวนการยุติธรรมตามรูปแบบได้ หลายเรื่องเจ้าหน้าที่พูดไม่ได้ เพราะมีคนได้ มีคนเสีย เปิดเผยไม่ได้ แต่ในโลกโซเชียลไม่มีกติกา เปิดอะไรก็ไม่รู้ได้หมด กระบวนการยุติธรรม ไม่ตอบโจทย์ ไม่ตอบสนองความต้องการของคน ที่ต้องการรู้เร็ว ในกระบวนการยุติธรรมปัจจุบันทำอย่างนั้นไม่ได้ ในอนาคตต้องออกแบบกระบวนการยุติธรรมใหม่ ให้สอดคล้องกับสังคม โดยที่กฎหมายยังคงทำหน้าที่กติกาของสังคมอยู่

RELATED ARTICLES