วงการตำรวจสูญเสียบุคคลในตำนานไปอีกราย
พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ป่วยด้วยอาการปอดติดเชื้อสิ้นลมอย่างสงบที่โรงพยาบาลศิริราช
ทิ้งเรื่องราวไว้มากมาย
“ผมทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน” เจ้าตัวเคยเปิดใจให้สัมภาษณ์ นิตยสาร COP’S ลงตีพิมพ์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2552 ระหว่างเป็น “แคนดิเดต” นั่งเก้าอี้แม่ทัพสีกากีคนต่อไป แต่สุดท้ายพ่ายอำนาจการเมือง ทำให้พลาดบัลลังก์ “เจ้าสำนักปทุมวัน” ในปีสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ
เชาเป็นนายตำรวจมือปราบกับมาดนายพลอารมณ์ดีที่ไม่เคยสร้างศัตรูกับใครนอกจากโจรผู้ร้ายที่ทำความเดือดร้อนแก่สุจริตชน
ทว่าหลายคนกลับมองเป็นเพื่อนนักเรียนนายร้อยตำรวจ26 รุ่นเดียวกับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีที่ทำให้เป็น “รอยตำหนิ” บนกระดานอำนาจ
กระนั้นก็ตาม เขายอมรับว่า ไม่เคยคิดเรื่องตำแหน่ง มุ่งทำงาน เพราะการแต่งตั้งเป็นเรื่องของผู้บังคับบังคับบัญชา
“อย่าไปคาดหวัง ทำงานให้ดีที่สุด” พล.ต.อ.จุมพลระบายความรู้สึกครั้งนั้น ทั้งที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพลและมือปืนรับจ้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ประวัติชีวิตของเขาเป็นชาวสุโขทัย ไม่คิดอยากเป็นตำรวจ อยากเป็นหมอ พอจบมัธยมปลายโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ไปสอบเอ็นทรานซ์ไม่ติด ได้ได้ตามที่ตั้งใจไว้ ครอบครัวอยู่ในฐานะไม่ดี วิธีที่จะทำให้ได้เงินเลี้ยงตัวเองไม่ต้องพึ่งพาครอบครัว คือ การเข้ารับราชการเป็นพลตำรวจ
เปลี่ยนแนวไปเข้าโรงเรียนพลตำรวจเรียนหลักสูตรเร่งรัด 4 เดือน แล้วลงบรรจุอยู่ฝ่ายการเงิน กองบัญชาการตำรวจนครบาล มุ่งมั่นสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 26 บรรจุตำแหน่งครั้งแรกเป็นผู้บังคับหมวดประจำกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 2 อำเภออรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี
ต่อมาย้ายเข้ากรุงเป็นรองสารวัตรอยู่สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ขึ้นสารวัตรป้องกันปราบปรามสถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ โยกข้ามหน่วยเป็นสารวัตรแผนก 3 กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม เลื่อนเป็นรองผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม
เป็นผู้กำกับการนโยบายและแผน กองบังคับการอำนวยการตำรวจสอบสวนกลางแล้วกลับมาเป็นผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม ขยับขึ้นรองผู้บังคับการปราบปราม ผงาดเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี ปีเดียวเลื่อนเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1
จากนั้นเป็นผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติทำหน้าที่ประสานงานกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ก่อนโอนเป็นข้าราชการพลเรือนตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
เจอมรสุมรัฐประหาร “ฟ้าผ่า” ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ นานเกือบ 2 ปี โอนกลับมารับราชการตำรวจตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ10) และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติปีสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ
ชื่อชั้นติดทำเนียบนายตำรวจมือปราบผ่านคดีสำคัญโชกโชน เจ้าตัวประทับใจมากสุดสมัยเป็นผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามคลี่คลายคดีพยายามลอบสังหาร นายประมาณ ชันชื่อ ประธานศาลฎีกา ใช้ความสามารถในการแกะรอยสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานด้วยความละเอียดอ่อนในการสืบสวน เพราะคดียังไม่เกิด ไม่มีผู้เสียชีวิต ไม่มีคนเจ็บ แค่เตรียมการ
เป็นคดีให้ตำรวจรุ่นใหม่น่าจะศึกษาเป็นแนวทางการสืบสวนสอบสวน
นอกจากนี้ ยังมีคดีการติดตามเพชรซาอุดิอาระเบียระลอกสองคืนสู่ราชวงศ์ซาอุ ฯ ที่รวมถึงคดีสังหารนายแสงชัย สุนทรวัฒน์ ผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย
“ผมคุยกับทุกคนในรุ่น แต่การทำงานมันไม่เกี่ยวกัน ผมทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน ทำตามนโยบายของรัฐบาลที่บริหารประเทศและก็ต้องทำให้ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็ตาม” พล.ต.อ.จุมพลย้ำอีกครั้ง
“รุ่นก็คือรุ่น เราจะไปลาออกจากรุ่นได้หรือ” เขาพยายามแจงข้อครหาฝักใฝ่เพื่อนร่วมรุ่นที่เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรีคนดัง “เหมือนคำว่าสวนกุหลาบเป็นเรื่องของทุกอาชีพ รุ่นน้องรุ่นพี่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนถึงแม้ไม่ทันกันก็ตาม พอรู้ว่าเป็นสวนกุหลาบเขาจะช่วยเหลือกัน”
คติการทำงานนำไปสู่การประสบความสำเร็จได้ในชีวิตราชการตำรวจของเขา คือ ผู้ใต้บังคับบัญชา ถือเป็นหัวใจในการทำงาน การที่จะนำผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำงานได้เป็นเรื่องที่ท้าทาย
“ผมโชคดีที่มีลูกน้องดี ให้ความสำคัญกับเขา ทำอย่างไรให้ได้ใจลูกน้อง ผมถึงสามารถเข้าได้ทุกพวก มีเพื่อนฝูง พี่น้องเยอะแยะแค่นี้ผมก็มีความสุขในชีวิตแล้ว” นายพลคนดังทิ้งมรดกแห่งตำนานผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เอาไว้
แม้บั้นปลายจะเผชิญมรสุม แต่รอบกายยังมีลูกสาวคอยดูแล