บุกจับพ่อค้ายานรกตัวแสบปลอมใบหน้าสู่หนุ่มโอปป้าเกาหลี

 

พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสืบสวนนครบาลแกะรอยก่อนจับกุมตัว นายจีมิน-ซ็อง เกาหลีเก๊ แท้จริงเป็นคนสัญชาติไทย ทำศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงใบหน้า Face off ไม่เหลือเค้าโครงเดิมเพื่ออำพรางการติดตามจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนถูกจับตัวได้ก่อวีรกรรมสุดแสบเป็น “ต้นตอ” ที่สำคัญในการแพร่ระบาดของยาเสพติดชนิด ยาอี หรือ ยาเลิฟ (MDMA) ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล หลบหนีไร้ร่องรอยมาเป็นเวลาเกือบ 3 เดือน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการ 5 ชุดศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใช้มุกคลาสสิกส่งสารวัตรมือดี “แฝงตัว” จนสามารถจับกุมตัวได้ในห้องพักคอนโดชื่อดังย่านเขตบางนา  รับสารภาพว่ามีคอนเน็กชั่นทั่วโลก สั่งจากดาร์กเว็บโอนจ่ายด้วยบิตคอยน์ แต่ที่เกมเพราะลูกน้องทำผิดแผน

ทั้งนี้  พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่างผู้บัญชาการตำรวจนครบาล  พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลนำกำลัง พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล  พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผู้กำกับการวิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล พ.ต.อ.ธัญญพัทธ์ บุญสุข ผู้กำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว สารวัตรกองกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนนครบาล พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สารวัตร (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 4  พร้อมทายาทนักสืบ 5 G ประกอบด้วย ร.ต.อ.พลวัต นาคถมยา   ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพ  ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่นและส.ต.ท.จิรวัฒน์ ศรีมั่นมีชัย นำกำลังติดตามตัว


กระทั่งบุกรวบตัวนายจีมิน-ซ็อง ชื่อเดิม นายสหรัฐ สว่างแจ้ง อายุ 25 ปี สัญชาติไทย อยู่บ้านเลขที่ 134/8 ตรอกวัดอัมพวา แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร พ่อค้ายาเสพติดรายสำคัญที่ตำรวจติดตามมานานร่วมปีที่ห้องพักในคอนโดชื่อดังแห่งหนึ่งในพื้นที่เขตบางนา แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร ตรวจยึดของกลางโทรศัพท์ 2 เครื่องใช้ในการติดต่อสั่งนำเข้ายาเสพติดจากต่างประเทศ และทรัพย์สินอีกจำนวน 22 รายการ ตามพฤติการณ์จากชุดวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ วิเคราะห์สถิติการจับกุมพบว่ามีการแพร่ระบาดหนักของกลุ่มยาเสพติดชนิด ยาอี หรือ ยาเลิฟ (MDMA) ต่อมาได้ประสานงานรวบรวมข้อมูลกับกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลร่วมเคราะห์แกะรอยจากข้อมูลคดีการจับกุมยาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพมหานครพบเบาะแสแหล่งที่มา เป็นเหตุให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลนำกำลังชุดสืบสวนลงพื้นที่พบ “หนุ่มเกาหลี” รูปหล่อรายหนึ่งซึ่งอยู่ในพื้นที่ย่านเขตบางนา มีพฤติกรรมจะสั่งนำเข้ายาเสพติดชนิด ยาอี หรือ ยาเลิฟ (MDMA) นำเข้ามาทางพัสดุไปรษณีย์ทางอากาศจากประเทศแถบทวีปยุโรปต่อเนื่องหลายครั้ง  มักใช้บุคคลที่งรู้จักผ่านทางเฟซบุ๊กให้คอยรับส่งพัสดุยาเสพติดไปยังลูค้า โดยที่ตัวเองไม่ต้องสัมผัสยาเสพติดโดยตรง

ต่อมา พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ สืบสวนจนกระทั่งสามารถยืนยันตัวตนของหนุ่มเกาหลีรายนี้ได้ คือ นายจีมิน-ซ็อง แท้จริงเป็นคนสัญชาติไทย  จงใจเปลี่ยนชื่อให้เหมือนคนเกาหลีใต้ โมีชื่อเดิมว่า นายสหรัฐ สว่างแจ้ง อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 134/8 ตรอกวัดอัมพวา แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร อีกทั้งยังได้เปลี่ยนแปลงใบหน้าด้วยการศัลยกรรมไปจนกลายเป็นคนละคน ไม่เหลือเค้าโครงเดิม ( Face off )จากการตรวจสอบพบว่า นายจีมิน-ซ็อง เป็นบุคคลตามหมายจับ เคยถูกพนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดออกหมายจับไว้ตามหมายจับศาลอาญาที่ 626/2565 ลงวันที่ 2 ธันวาคม 2565 ในคดีที่เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรได้ตรวจพบยาเสพติดยาอี หรือ ยาเลิฟ (MDMA) แบบผลึกสีขาวขุ่น น้ำหนัก 2,575 กรัม และ แบบเม็ดยาจำนวน 290 เม็ด ที่แอบบรรจุมาในพัสดุ “กล่องจิ๊กซอว์” เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ที่มีแผนประทุษกรรมเดียวกัน

จากความไม่ธรรมดาของ นายจีมิน-ซ็อง เจ้าหน้าที่ได้ใช้เวลาสืบสวนติดตามมาเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน แต่ยังไร้ร่องรอย จนกระทั่ง พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว สารวัตรกองกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล ใช้อุบายเสนอตัวผ่านทางเฟซบุ๊กเพื่อสมัครเป็น “เป็นเด็กส่งของ” ให้ นายจีมิน-ซ็อง จนสามารถสืบทราบได้ว่า นายจีมิน-ซ็อง พักอยู่ที่คอนโดหรูแห่งหนึ่งในพื้นที่เขตบางนา ก่อนนำกำลังเข้าตรวจค้นห้องพักในคอนโดจับกุมสำเร็จพร้อมของกลาง  ในชั้นจับกุมรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาว่า บ้านเดิมอยู่ย่านบางกอกน้อย ปลี่ยนมาเป็นชื่อภาษาเกาหลีเพราะอยากย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ประเทศเกาหลีใต้ เนื่องจากเบื่อหน่ายชีวิตในประเทศไทย สามารถพูดภาษาเกาหลีได้เพียงเล็กน้อย และยังออกเสียงไม่ได้ และได้ยอมรับว่ามารดาเคยถูกดำเนินคดีจำหน่ายยาเสพติดชนิด “ยาเสียสาว” กว่า 200,000 เม็ด นำเข้ามาจากประเทศปากีสถานเมื่อปี 2554  ปัจจุบันมารดาได้พ้นโทษออกมาแล้ว และย้ายไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส  ส่วนตัวเองเริ่มเข้าวงการจำหน่ายยาเสพติดจากการเข้าไปศึกษาในดาร์คเว็บและแชตพูดคุยกับคนในดาร์คเว็บ ไม่รู้จักชื่อและตัวตนจริง ผ่านทางหลายเว็บไซต์ เช่น คิงดอม, โบคีเมีย เป็นต้น ทำให้มีคอนเน็กชั่นนำเข้ายา MD หรือยาอี จากทั่วโลก แต่ที่ประสานงานดีที่สุดคือ ประเทศเนเธอแลนด์นำเข้ามาในรูปแบบการส่งเป็นพัสดุเข้ามาตามปกติ ล่าสุดสั่งยาอีที่กำลังจะเข้ามาในไทย อีกจำนวนครึ่งกิโลกรัมและ 30 กิโลกรัม แต่มาถูกจับกุมเสียก่อน และยอมรับว่า รู้ตัวว่าตนเองมีหมายจับ แต่เข้าใจว่าอาจเป็นคดีอื่น ในคดีนี้ที่ถูกออกหมายจับเพราะว่า ทำพลาดจนถูกศุลกากรตรวจพบยาอีที่ส่งพัสดุเข้ามาจำนวน 2.5 กิโลกรัม  เพราะลูกน้องไม่ได้ทำตามแผนที่สั่งการไว้

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลกล่าวว่า  จากข้อมูลของนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติวิเคราะห์ว่า คนร้ายรายนี้เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในต้นตอสำคัญของการแพร่ระบาดของ ยาอีและยาเลิฟ ในพื้นที่กรุงเทพ และ ปริมณฑล และเราสืบสวนติดตามตัวมาเป็นเวลาเกือบ 3 เดือน ทำให้ทราบว่าคนร้ายรายนี้รู้จักวิธีการตัดช่องทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี และมีการศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงใบหน้าเพื่ออำพรางการติดตามจากเจ้าหน้าที่ และด้วยคนร้ายรายนี้มีอายุเพียง 25 ปี สามารถเป็นระดับหัวของการนำเข้ายาเสพติดจากทางยุโรปได้ น่าเชื่อว่าจะมีผู้ที่คอยให้การสนับสนุนอยู่ในต่างแดน เราจะมีการขยายผลให้ถึงที่สุด เพราะปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับชาติ เป็นปัญหาเรื้อรังที่หยั่งรากลึกอยู่ในสังคมไทย ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและปราบปรามปัญหายาเสพติดเป็นอันดับหนึ่งมาโดยตลอด  พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบนโยบายในการแก้ปัญหายาเสพติดโดยทำสงครามกับยาเสพติด ขอเตือนไปยังเหล่าผู้ค้ายาเสพติดทั้งหลายว่า หากยังยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดไม่ว่าอย่างไรก็ต้องถูกจับกุม และชีวิตพวกมันต้องไม่มีความสุข

RELATED ARTICLES