“คนอย่างผม ทำตรงไปตรงมา ผิดก็ผิด ไม่ผิดก็ไม่ผิด”

ดีตผู้บัญชาการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ก่อนไปเผชิญชะตากรรมบนเก้าอี้ประธานกรรมการการเลือกตั้งในบั้นปลายชีวิต

พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ มือสอบสวนผ่านคดีสำคัญสร้างชื่อเสียงให้แก่วงการสีกากีมากมาย เกิดจังหวัดจันทบุรี เรียนครั้งแรกที่วัดปลายคลองพลิ้ว จบประถม 4 ระเหเร่ร่อนอยู่พัก พอดีโรงเรียนวัดใหญ่พลิ้วเปิดสอนมัธยมจึงหันกลับไปเรียนอีกครั้งแล้วไปอยู่หน้าวัดโคกรัก และเข้าเรียนมัธยมปีที่ 4-6 โรงเรียนอำนวยศิลป์ ธนบุรี ไปต่อชั้น 7-8 โรงเรียนอำนวยศิลป์พระนคร

ถัดจากนั้นเข้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รุ่น 2504 หมายมั่นปั้นมือเป็นทนายความ แต่เจอคำคัดค้านของพ่อ “อาชีพทนายความมันต้องโกหก ต้องหลอกลวง คุณพ่อคิดเช่นนั้นจึงขอร้องไม่ให้ผมเป็น ผมก็ตามใจพ่อ” พล.ต.อ.วาสนาย้อนความหลัง ทำให้ชีวิตหักเหไปทำงานธนาคารกรุงเทพพณิชยการ

ปรากฏว่ามีการเปิดรับสมัครตำรวจขึ้นมา เขาบอกว่า เลือกสู่เส้นทางนี้ เพราะเรียนมาทางด้านกฎหมาย แม้ไม่ได้เป็นทนายความก็น่าจะเป็นตำรวจได้ สามารถช่วยเหลือสังคมให้เป็นธรรมได้ ประเดิมด้วยตำแหน่งผู้บังคับหมวดสถานีตำรวจภูธรอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เพียง 2 ปีเข้าประจำตำแหน่งตรวจสอบสำนวนกองคดี ประจำแผนกคดีอาญาและวินัย กองบัญชาการตำรวจนครบาล เป็นรองสารวัตรสถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง หัวหน้าแผนกกฎหมาย กองวิชาการกรมตำรวจ

รองผู้กำกับการ 4 กองกำลังพล ผู้กำกับการฝ่ายตรวจสอบและทะเบียนประวัติ กองกำลังพล รองผู้บังคับการกองคดี รองผู้บังคับการประจำกรมตำรวจ(ทำหน้าที่)ด้านวินัยสำนักงานกำลังพล ผู้บังตับการประจำกรมตำรวจ (ทำหน้าที่ประสานงานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ) ผู้บังคับการกองคดี ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานจเรตำรวจ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ผู้บัญชาการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ

ตัดสินโอนย้ายเป็นผู้ตรวจสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการ 10)สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินคนแรก เป็นกรรมการการเลือกตั้ง และประธานกรรมการการเลือกตั้ง

พล.ต.อ.วาสนา เป็นพนักงานสอบสวนหลายคดี แต่ถ้าถามถึงคดีที่ภูมิใจ เจ้าตัวยกตัวอย่าง คดีป่าไมสาละวิน คดีระเบิดสังหารนางปัทมา เฟื่องประยูร ที่จังหวัดนนทบุรี และคดีลอบสังหารนายแสงชัย  สุนทรวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย เพื่อนสนิทของตัวเอง “ที่ภูมิใจ เพราะผมได้ใช้ความรู้ทางกฎหมายที่เรียนและได้จากประสบการณ์ในการทำงานเข้ามาจัดการได้สำเร็จ”

นอกจากนี้ อดีตนายพลคนดังยังเป็นหัวหน้า ส.ป.ก.4-01 จำนวน 21 คดี เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีร้องทุกข์กล่าวโทษนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและฝ่ายฝืนกฎหมายเลือกตั้ง คุมสำนวนคดีร้องทุกข์กล่าวโทษ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ทำหน้าที่รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เป็นพนักงานสืบสวนสอบสวน ส.ต.อ.บุญเนตร ไชยเทพและภรรยา หายตัวไป คดีวางระเบิดรถนายณรงค์ อุ่นแพทย์ ลอบวางระเบิดรถนายโชคชัย สนธิทรัพย์ เป็นคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีนายวูล์ฟกัง อูลริค เดินทางเข้าออกประเทศไทยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนายเชลียง เทียมสนิท หัวหน้ากลุ่มนิติการร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดธรรมกายในความผิดฐานแจ้งความเท็จ เป็นต้น

“อย่างคดีแสงชัย ใคร ๆ ก็รู้ว่า ผมกับแสงรุ่นเดียวกัน ท่านอธิบดีพจน์ บุณยะจินดา ช่วยให้ไปดู  ทำกันอยู่นานกว่าจะจับมือปืนได้ ทั้งนี้ตอนแรกจะไปจับนายพลทหารคนหนึ่ง ผมดูแล้วมันยังไม่มีหลักฐาน ผมไม่ยอม กระทั่งได้นฤทุกข์ หรือกิต หรือแง้ม อุ่นตระกูล มือปืนมา ผมไปสอบมัน ถามว่า มึงยิงใครรู้ไหม มันบอกไม่รู้ เขาบอกให้มันยิง มันก็ยิง ผมก็เลยขู่มันว่า มึงรู้ไหม คนตายเพื่อนกู ตอนนั้นตีสามแล้ว ผมนอนไม่หลับ เรียกให้เอามันมาสอบอีกรอบ ถามว่าแล้วปืนเนี่ยเป็นปืนที่ใช้ยิงใช่ไหม มันว่า แต่งไปหมดแล้ว ผมเลยด่าไป ไอ้ห่าแบบนี้มึงก็มีความรู้เรื่องปืนสิวะ มันพยักหน้าว่า เป็นพลทหารเก่า”

นายพลเพื่อนรักอดีตผู้อำนวยการสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทยเหยื่อสังหารเล่าต่อว่า ให้มือปืนอธิบายวิธี ก่อนแต่งมันเอาไปยิงที่ป่าแดด จังหวัดเชียงใหม่แล้วเอาเหล็กพันกระดาษทรายกระแทกกระบอกปืนแล้วยิงใหม่ ออกมาก็ไม่เหมือนเดิม เราถามย้ำว่า จริงแน่นะ ถ้าอย่างนั้นไปป่าแดด ขึ้นเครื่องบินไปพิษณุโลกแล้วต่อเฮลิปเตอร์ไปเชียงใหม่ ถ้าไม่เจอหรือไม่จริง ตายแน่ สุดท้ายทีมสืบสวนไปหากระสุนเจอ ตรงกับที่อยู่ในศพแสงชัยพอดี คนร้ายถึงติดคุก เพราะประจักษ์พยานไม่มี ภรรยาของแสงชัยก็ไม่เห็น เนื่องจากมันใส่หมวกกันน็อก

วีรกรรมสมัยเป็นนายพลมือสอบสวนของ พล.ต.อ.วาสนา ใครที่สัมผัสจะรู้ว่าเป็นคนตรงขนาดไหน มีอยู่คดีเขารับบทสืบสวนสอบสวนตามคดีตำรวจและเมียถูกอุ้มหายเพราะมีประวัติพัวพันค้ายาเสพติด แกะรอยทำไมทำมากลายเป็นฝีมือตำรวจด้วยกันปล้นฆ่าเพื่อเอาเงินยานรก เขาเล่าว่า ลงสืบสวนด้วยตัวเองจนรู้ตัวละครหมดกะจะจับเลย 10 กว่าคน อธิบดีคนหนึ่งรู้ก็เรียกไปพบ เพราะเรื่องนี้สืบสวนสอบสวนกระจ่างชัดแล้วจะขออนุมัติอธิบดีจับตั้งแต่ยศ พ.ต.อ.ถึงจ่าเลย ท่านห้ามไว้บออกไม่อย่างนั้นจะเสียชื่อ “ ผมบอกเอาอย่างนี้ดีกว่าท่าน จับหรือไม่จับแล้วแต่ท่าน เพราะท่านเป็นอธิบดี แต่ถ้าไม่ให้ผมจับ ผมขอลาออกจากพนักงานสอบสวนสืบสวนชุดนี้ แล้วใครจะทำอะไรไม่ทำยังไง ผมก็ไม่สนใจเลย คนอย่างผม ทำตรงไปตรงมา ผิดก็ผิด ไม่ผิดก็ไม่ผิด”

“ความจริงผมทำงานให้กรมตำรวจเยอะ เช่น เปลี่ยนแปลงระเบียบการประกันตัว กำหนดเขตพื้นที่และสถานีตำรวจนครบาลใหม่ เปลี่ยนแปลงแผนกตรวจสอบสำนวนกองคดีอาญา กรมตำรวจ แยกเป็นหลาย เป็นคณะทำงาน กำหนดตำแหน่งต่าง ๆ มากมาย” พล.ต.อ.วาสนาเล่า พร้อมรำลึกถึงพระคุณนายเก่านับตั้งแต่เข้ารับราชการยุค พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ ถึง พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา เป็นอธิบดีตำรวจ มีผู้บังคับบัญชาหลายท่านพึงระลึกเสมอเป็นพิเศษ คือ พล.ต.ต.เสนาะ โตดาบ พล.ต.ท.รุจิเลข สุนทรหิตานนท์ พล.ต.ท.ประวิทย์ วงศ์วิเศษ พล.ต.อ.ณรงค์วิทย์ ไทยทอง พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ พล.ต.อ.สนอง วัฒนวรางกูร พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา พล.ต.อ.เสน่ห์ สิทธิพันธุ์ และ พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น

เขาบอกว่า สิ่งหนึ่งที่ครองใจนายหลายคนเรียกเอาไปใช้ได้ อาจเป็นเพราะความตรงไปตรงมาตอนทำสำนวนคดี ถูกก็ไม่ฟ้อง ผิดก็ฟ้อง ก็แค่นั้น แต่ว่า ถ้านายบอกว่า เราผิด แต่เราว่าเราไม่ผิดก็แล้วแต่นาย เพราะท่านเหนือกว่าท่านก็ว่าไป “ ผมก็ใช้วิธีนี้  ผมไม่ทะเลาะกับนาย ท่านก็สั่งไม่ฟ้อง แต่ถ้าอัยการสั่งฟ้อง ท่านก็ว่าผมไม่ได้นะ ไม่วิ่งด้วย ผมถึงอยู่ได้ ทุกยุค ทุกสมัย ว่าไปตามข้อเท็จจริง และกฎหมาย”

พล.ต.อ.วาสนาทิ้งท้ายว่า ตั้งแต่เด็กเป็นเด็กจนเป็นผู้ใหญ่ ทั้งทำงานเอกชนและงานราชการไม่เยถูกดำเนินคดีอาญาหรือวินัย หรือถูกกล่าวหาในเรื่องใด ๆ มาก่อนระหว่างรับราชการเคยได้ 2 ขั้น 10 กว่าครั้ง ได้3 ขั้น 1 ครั้ง ได้ครึ่งขั้นก็เคย แต่ตอนมาเป็นประธานกรรมการการเลือกตั้ง ถูกดำเนินคดีอาญาตัดสินจำคุกสูงสุด 4 ปี และก่อนการให้ประกันตัวเคยตองเข้าเรือนจำถึง 2 วัน แม้ต่อมาศาลพิพากษาว่า ไม่มีความผิดก็ตาม แต่ต้องเสียประวัติไปตลอดชีวิต

เจ้าตัวยอมรับ ตอนนั้นถูกขังไป 2 วัน แต่เฉย เพราะทำไมรู้ไหม เพราะเข้ามาแล้วที่ภูเก็ต ที่บางขวาง แม่ฮ่องสอง เดินเข้าคุก แต่อาจเข้าคนละฐานะ  อยู่ 2 วันคราวนั้นเข้าไปเขาให้นอนที่ข้างนอก ก็เฉยๆ คิดในใจในคุกดีกว่าบ้านเราอีกจะบอกให้ หมายถึงบริเวณในคุก สวย แต่งสวย ไม้ประดับ บ้านของเรายังดูไม่ดี แต่ว่าถ้าเราเข้าไปอยู่เป็นนักโทษ ก็ลำบากหน่อย เขาจะให้ไปอยู่ตรงไหนก็ต้องไป แต่เราก็ไม่ถึงขั้นนั้น

 “ผมก็คิดว่าเอะ ทำไมถึงต้องเป็นเรา กรรมอะไรวะเนี่ย  ไปดูงานมาเยอะแล้ว อินเดีย ก็ไป ญี่ปุ่นก็ไป คนที่ทำผม เคยไปเห็นหรือเปล่า เขาทำกันยังไง หัวใจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง คือ ต้องอำนวยความสะดวกในเรื่องที่ถูกต้องให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะอำนวยความสะดวกได้ ต้องอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน สุดท้ายผมก็โดนจนได้ ผมเคยอยู่ทั้งนครบาล ทั้งภูธร สอบสวนกลางก็อยู่มา ไม่เคยถูกร้องเรียน รับสินบาทคาดสินบน รับเงินสักบาท ผมไม่เคยเลย ผมปกครองคนมาเป็นพัน เป็นหมื่น มาอยู่คณะกรรมการการเลือกตั้งประเดี๋ยวเดียวโดนเลย ผมเศร้าใจจริงๆ”

วาสนา เพิ่มลาภ !!!

 

 

 

 

 

RELATED ARTICLES