เผชิญชะตากรรมบนเก้าอี้ประธานกรรมการการเลือกตั้งในบั้นปลายชีวิต
ทั้งที่ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นมือสอบสวนระดับตำนานของวงการตำรวจผ่านคดีสำคัญระดับประเทศสร้างชื่อเสียงไว้มากมาย
กลับกลายตกเป็นผู้ต้องขังเปลี่ยนคำนำหน้าเป็น “นักโทษชาย” ไปใช้ชีวิตอยู่ในกำแพงเรือนจำ
ทันทีที่ศาลฎีกาพิจารณาคดีกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด หรือกระทำการหรือละเว้นกระทำการโดยทุจริตหรือประพฤติมิชอบในการปฏิบัติหน้าที่
พิพากษาตัดสินจำคุก 2 ปี
“ทำไมถึงต้องเป็นเรา กรรมอะไรวะเนี่ย” เจ้าตัวเคยเปิดใจไว้ในนิตยสาร COP’S ก่อนหน้า
“ไปดูงานมาเยอะแล้ว อินเดีย ก็ไป ญี่ปุ่นก็ไป คนที่ทำผม เคยไปเห็นหรือเปล่า เขาทำกันยังไง หัวใจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง คือ ต้องอำนวยความสะดวกในเรื่องที่ถูกต้องให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะอำนวยความสะดวกได้ ต้องอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน สุดท้ายผมก็โดนจนได้”
เขารำพันยังต่อว่า
“ผมเคยอยู่ทั้งนครบาล ทั้งภูธร สอบสวนกลางก็อยู่มา ไม่เคยถูกร้องเรียน รับสินบาทคาดสินบน รับเงินสักบาท ผมไม่เคยเลย ผมปกครองคนมาเป็นพัน เป็นหมื่น มาอยู่คณะกรรมการการเลือกตั้งประเดี๋ยวเดียวโดนเลย ผมเศร้าใจจริงๆ”
หมดอิสรภาพถูกจองจำอยู่ในคุกมานาน 1 ปี 6 เดือน 13 วัน
เหลือเวลาอีก 5 เดือน 22 วัน
นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ประชุมคณะกรรมการพักการลงโทษ ประจำปีงบประมาณ 2561 ก่อนมีมติเห็นชอบให้ “พักการลงโทษ” นักโทษเด็ดขาดจำนวน 283 ราย
ในจำนวนนั้นมี นช.วาสนา เพิ่มลาภ รวมอยู่กับ นช.ปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีตกรรมการการเลือกตั้งที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน
เป็นการให้โอกาสผู้ต้องขังที่มีความประพฤติดีจะสามารถกลับไปดำเนินชีวิตในสังคมได้ก่อนกำหนดต้องโทษ
ถึงกระนั้น ทั้งคู่ยังต้องมารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่กรมคุมประพฤติเดือนละ 1 ครั้งจนกว่าจะหมดโทษจำคุกที่เหลืออยู่ เป็นไปตามกฎระเบียบผู้ต้องขังที่ได้รับการพักโทษทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
มรสุมร้ายที่เข้ามาในชีวิตบั้นปลาย “นายพลตำรวจเอก” น่าจะพัดผ่านไปหมดแล้ว
ฟ้าหลังฝนย่อมดีเสมอ !!!