“ชีวิตผมทั้งชีวิต ผมอยู่กับงานสืบสวน”

 

                            

ผ่านชีวิตมากมายสารพัดสมรภูมิรบคอมมิวนิสต์กลางป่าเขา ก่อนจะกลายมาเป็นตำนานนักสืบเมืองหลวง

พ.ต.ท.สมภพ นพคุณ อดีตสารวัตรงานศูนย์ข้อมูลและการข่าว ศูนย์สืบสวนนครบาล ชาวอำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร พ่อเป็นกำนัน ส่วนแม่เป็นครู เรียนจบมัธยมโรงเรียนศรียาภัย ไปสมัครสอบตำรวจในยุคที่กำลังทำสงครามกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เข้าไปอยู่ “รุ่นไตรมิตร” รุ่นแรกและรุ่นเดียวในประวัติศาสตร์กรมตำรวจที่จัดให้เป็น 3 เหล่า คือ ตำรวจพลร่ม ตำรวจตระเวนชายแดน ตำรวจสันติบาล

เจ้าตัวเลือกสังกัดสันติบาลเข้าไปฝึกอบรมต่อเกี่ยวกับงานด้านการข่าว เพราะต้องเข้าป่าหาข้อมูล มีไมค์ คูเปอร์ ตัวแทนสำนักงานสอบสวนกลาง หรือเอฟบีไอ ประจำสถานเอกอัครทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเป็นครูฝึกร่วม ก่อนบรรจุลงกองกำกับการ 7 กองบังคับการตำรวจสันติบาล เป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนถูกส่งไปช่วยราชการในพื้นที่สีแดงจังหวัดนครศรีธรรมราช

ภารกิจแรก เขาเล่าว่า โดนส่งไปหาข่าวหัวหน้าชุดผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่ตำบลบางบอน อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ต้องปลอมตัวเป็นชาวบ้านและปั้นเรื่องขึ้นมา ให้รู้เป็นเจ้าหน้าที่ไม่ได้ เริ่มต้นเข้าวัดไปหาหลวงพ่อ แกล้งถามจะมาหาตัวน้องชายที่หนีมาอยู่แถวนั้น แต่ไม่รู้อยู่ตรงไหน มีรูปใบเดียว หลวงพ่อแนะนำให้ไปพบคนในหมู่บ้าน กระทั่งถึงตัวเป้าหมาย

“นี่ถือเป็นผลงานชิ้นแรก ผมไปเจอเป้าหมาย คุยกันไปคุยกันมา อ้างว่าเราเป็นนักศึกษา เพราะอายุเพิ่ง 19 ปี เก็บรายละเอียดเรียบร้อยแล้วรีบออกจากพื้นที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นรถไฟกลับไปรายงานผู้บังคับบัญชา ก่อนมีงานอื่นเข้ามาอีกแล้วถูกส่งไปจังหวัดชุมพร  ทำงานสืบสวนหาข่าว อาศัยที่พูดภาษาใต้คล่อง นายมักใช้งานยาก ๆ เพื่อไปหาข่าวความเคลื่อนไหวผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์แนวเทือกเขาตะนาวศรี” อดีตพลตำรวจลูกแถวสันติบาลว่า

ต่อมาได้รับโอกาสไปเรียนเกี่ยวกับงานสื่อสาที่ค่ายสฤษดิ์เสนา จังหวัดพิษณุโลก นาน 6 เดือน สอบผ่านเป็นอันดับ 1 ของรุ่น กลับมาประจำหน่วยในกรุงเทพมหานคร ทำหน้าที่ประกบนักการเมืองที่เพิ่งเดินทางมาจากต่างประเทศตลอดเวลาตามคำสั่งคณะปฏิวัติได้ราว 3 เดือน ถูกเรียกตัวด่วนไปเสริมกำลังที่ไร่ใหม่ สามร้อยยอด อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขึ้นยุทธการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์นำไปสู่การสูญเสียครั้งสำคัญของกำลังพลตำรวจสันติบาล

เขาไม่เคยลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น เมื่อมีการจับสลากประจำจุดเพื่อทำหน้าที่พนักงานวิทยุได้ประจำในพื้นที่บ้านโปร่งกระสัง ตำบลไร่บน อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทว่า ส.ต.ต.มังกร ชีวานุตระ ตำรวจรุ่นพี่มาขอแลกสลับให้ไปอยู่บ้านยางชุมแทน “ผมไม่ได้คิดอะไร เพราะอยากไปยางชุมอยู่แล้ว เบิกปืน เบิกวิทยุ เข้าไปหาทำเลตั้งแคมป์ ตั้งเสาวิทยุสื่อสาร พร้อมอุปกรณ์สำหรับติดต่อ ปรากฏมีการปะทะกันหลายจุด เสียงปืนดังรัวไปชุด ผมกับพวกรีบนั่งรถออกไปพบเป็นจุดบ้านโปร่งกระสังที่พี่มังกรขอเปลี่ยนมาอยู่ตรงนั้นพอดี”

ปรากฏว่า ส.ต.ต.มังกร ชีวานุตระ ถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ซุ่มยิงเสียชีวิตพร้อมเพื่อนอีกคน  พ.ต.ท.สมภพยอมรับว่า เจอสถานการณ์วิกฤติตอนนั้น บางคนเป็นตำรวจภูธรทำอะไรไม่ถูก เนื่องจากไม่เคยรบในป่า ผิดกับเราที่ฝึกมาจากค่ายนเรศวร เกิดการปะทะกัน รีบตั้งสติแล้ววิทยุราชการเหตุขอกำลังเสริมจากบ้านยางชุมและเฮลิคอปเตอร์เข้ามารับคนเจ็บด่วน

ผ่านสถานการณ์เที่ยวนั้น เขายังประจำอยู่บ้านยางชุมทำหน้าที่พนักงานวิทยุค่อยส่งข่าวด้วยรหัสมอสเหมือนเดิม เป็นค่ายกองกำลังผสมระหว่างตำรวจชายแดน ตำรวจพลร่ม และตำรวจสันติบาล ไม่นานบ้านโปร่งกระสังถูกโจมตีอีก คราวนี้สูญเสีย “เฉลิม เฉลิมวัฒน์” หัวหน้าชุดตำรวจตระเวนชายแดนถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์โยนระเบิดใส่รถตายทั้งคัน

ครบวงรอบสับเปลี่ยนกำลัง 6 เดือนเที่ยวนี้ พลฯสมภพเข้ารายงานตัวกองตำรวจสันติบาลที่กรุงเทพมหานครแล้วโดนส่งกลับเข้าพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชอีกครั้ง แต่ได้รับคำสั่งพิเศษสืบราชการลับหาข่าวเป้าหมายบนเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี นั่งรถไฟไปต่อเรือเกาะสมุยเพื่อข้ามมาเกาะพะงันเนื่องจากการเดินทางสมัยนั้นค่อนข้างลำบาก

“ไปแบบไม่รู้อะไรเลย เงินทองไม่มีนอกจากเบี้ยเลี้ยงพันกว่าบาท สุดท้ายใช้มุกเดิม เข้าไปนอนในวัดถามหาน้องชายที่มาบวชอยู่ โชคดีคุยกับพระธุดงค์ถูกคอเพราะเป็นคนใต้ด้วยกันแนะนำไปหาคน ๆ หนึ่งต้องไปนอนรถในป่าช้านะ เป็นผู้กว้างขวางบนเกาะพะงัน นัดเจอกันตอนดึกและไว้ใจได้ ผู้ใหญ่คนนั้นรับปากจะหาข่าวให้ อยู่ 2-3 วันได้ข้อมูลสำเร็จ กลับไปรายงานผู้บังคับบัญชา ถามว่า งานหนักไหม เสี่ยงไหม คือ เสี่ยงสำหรับเรา แต่สมัยก่อนมันก็ไม่กลัวอะไรหรอก ผมยังหนุ่ม ประกอบกับเวลาลงพื้นที่ ไม่มีสิ่งบอกเหตุในทางร้ายๆ เพราะผมไปทุกที่ ไปคุยแล้วได้รับการดูแล ได้รับการต้อนรับ การพูดภาษาที่มันไม่ใช่คนแปลกถิ่น ผมก็ไม่ได้โกหกตัวเองว่า มาจากไหน แค่ไม่ได้บอกอย่างเดียวว่า เราเป็นตำรวจเท่านั้น”

ใช้ชีวิตอยู่สันติบาลจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นครูฝึกวิทยุไปฝึกอบรมรุ่นแรกที่จังหวัดบุรีรัมย์แล้วกลับมาอยู่บ้านเกิดชุมพรเหมือนเดิม ระหว่างนั้นสอบเป็นนายตำรวจได้คะแนนอันดับ 1 หันเหเส้นทางมาเป็นตำรวจนครบาลลงเป็นรองสารวัตรป้องกันปราบปรามโรงพักบางพลัด เหตุเพราะเพียงรู้จักที่นั่งดื่มกินอยู่ละแวกนั้น รายงานตัววันแรกถูกให้ใส่เครื่องแบบเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ทันที

ปีเดียวได้ย้ายเป็นหัวหน้าสายสืบด้วยความขยัน พ.ต.ท.สมภพบอกว่า เราทำงานมาจากชั้นประทวน ส่วนรองสารวัตรทั้งโรงพักเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจหมด ถ้าเราไม่ทำงานให้แข็งขันขึ้นมา แล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร ทำให้เข้าตาสารวัตรใหญ่ เห็นว่า ไม่มีหัวหน้าสายสืบเป็นนายตำรวจ มีแต่จ่า ถึงเริ่มต้นเป็นหัวหน้าสายสืบคนแรก รุ่นแรกของนครบาลที่เป็นรองสารวัตร

สวมบทนอกเครื่องแบบไฟแรงไม่ทันไรต้องทำวิสามัญฆาตกรรมนายตำรวจยศ ร.ต.ต.จนตกเป็นข่าวดังคึกโครมบนหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เจ้าตัวเล่าว่า ก่อนเกิดเหตุลูกน้องไปนั่งในร้านข้าวต้มเอเชียเกิดมีเรื่องวิวาทกับนายตำรวจคนหนึ่งที่ไปเลี้ยงฉลองกันในร้าน มีการแย่งปืนแล้ววิ่งหนี พอรับแจ้งเรารีบไปที่เกิดเหตุ ไม่รู้ว่าเป็นตำรวจ อีกฝ่ายชักปืนใส่ก่อนทำให้เราต้องป้องกันตัว หลังเกิดเหตุได้รายงานไปตามข้อเท็จจริง ผู้บังคับบัญชาก็ให้ว่าไปตามข้อกฎหมาย โรงพักบางพลัดเป็นยิ่งกว่าตลาดนัด นักข่าวเต็มไปหมด กระโคมข่าวโจมตีเราทำเกินกว่าเหตุสู้คดีนานกว่า 3 ปีกว่าจะยุติ

“ผมเคยไปสู้รบในป่า ไม่เคยมาสู้รบในเมือง เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเหตุบังเอิญ” หัวหน้าสายสืบเก่าของโรงพักบางพลัดระบายความในใจและเล่าต่อว่า คดีสำคัญต่าง ๆ ระหว่างอยู่ที่นั่นเราต้องสืบสวนเองและประสบความสำเร็จหมด ยากที่กองสืบสวนจะมาทัน แม้กระทั่ง พ.ต.อ.โกสินทร์ หินเธาว์ ผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลธนบุรียังเรียกไปขอร่วมจับด้วยกัน เพราะส่วนมาก ถ้ารู้ตัวผู้ต้องหาบางรายได้ทันคืนนั้นเลย เพราะเป็นคนร้ายท้องถิ่นที่มีข้อมูลอยู่ก่อนแล้ว

พ.ต.ท.สมภพเผยถึงเคล็ดลับการสืบสวนว่า เวลาว่าอยู่โรงพักจะเรียกพวกมีประวัติพ้นโทษออกมาคุยซักถามไม่ให้รู้ตัวว่า เราบันทึกข้อมูลไว้ พยายามคุยถึงอดีตไปทำผิดที่ไหน อะไร อย่างไร ทำเสร็จแล้วหนีไปไหนแล้วเก็บข้อมูลไว้ในแฟ้ม วันหนึ่งกลับมาฆ่าคนตายอีก เรารื้อแฟ้มตามไปคว้าตัวได้ทันที เพราะรู้พฤติกรรมการหลบหนีอยู่แล้วว่าจะไปไหน

ตำนานนายตำรวจนักสืบวัยเกษียณยังมีส่วนเปิดเกมปิดแฟ้มคดีคนร้ายขุดอุโมงค์เข้าไปโจรกรรมทรัพย์สินธนาคารทหารไทย สาขาย่อยสะพานกรุงธนบุรีกวาดเงิน 2.5 ล้านบาทลอยนวลได้ปีเศษ แกะรอยหาข่าวจนตามจับคนร้ายได้สำเร็จเป็นช่างไฟฟ้าอยู่โรงแรมริเวอร์ไซด์ เดินผ่านไปผ่านมาธนาคารทุกวันจึงเกิดแนวคิดมุดท่องระบายน้ำริมเจ้าพระยาเข้าไปเจาะอุโมงค์ใต้ธนาคารทุกวันจนเข้าไปโจรกรรมตู้เซฟได้สำเร็จ

หลังจากนั้นติดตามคนร้ายใช้อาวุธปืนชิงทรัพย์ธนาคารกสิกรไทยและอีกหลายคดีในท้องที่บางพลัดเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ตัดเก็บใส่แฟ้มผลงานความภาคภูมิใจของตัวเองจำนวนไม่น้อย แต่สิ่งเดียวที่อยาก คือการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรมหลักสูตรสืบสวนคดีอาญารุ่นพิเศษของนครบาลสมัย พล.ต.ท.โสภณ วาราชนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดโครงการที่คัดเอารองสารวัตรสอบสวนระดับหัวกะทิที่มีแววเป็นนักสืบแค่ 30 นายไปเข้าค่าย

“ผมเป็นนักสืบรุ่นใหญ่แล้ว ไม่เคยเข้าอบรมโรงเรียนสืบสวน เพราะไปเข้าโรงเรียนสารวัตร พอได้ข่าวมีการเปิดอบรมนักสืบ 30 คน  ผมอยากได้ความรู้ ชีวิตผมทั้งชีวิต ผมอยู่กับงานสืบสวน อยากรู้แม้อายุมากแล้ว ตัดสินใจไปขอ พ.ต.อ.โกสินทร์ หินเธาว์ ตอนแรกปฏิเสธ แต่ให้ไปลองสัมภาษณ์ดู อยู่ ๆ ก็มีชื่อเข้าไปอยู่ใน 30 อบรมหลักสูตรสืบสวนคดีอาญารุ่นพิเศษ แถมได้แต่งตั้งเป็นประธานรุ่นด้วย เพราะผมอายุแก่กว่าใคร แต่ยังร่างกายยังแข็งแรงนะ” พ.ต.ท.สมภพหัวเราะ

ถือเป็นก้าวแห่งประสบการณ์สำคัญที่ได้รับโอกาสบ่มเพาะวิชาสืบสวนเพิ่มเติมจาก พ.ต.ท.ปรีชา ธิมามนตรี รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลพระนครเหนือ พ.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้กำกับการข่าว กองบัญชาการตำรวจนครบาลขณะนั้น นำเอามาลงสนามในเวลาต่อมาทันทีที่จบหลักสูตรแล้วได้รับการแต่งตั้งเป็นสารวัตรกองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล 3 ยุค พ.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ นั่งเป็นผู้กำกับการตามเก็บกวาดเครือข่ายยานรกของบังรอน-สุรชัย เงินทองฟู ราชายาเสพติดชื่อดัง

ตำราจากการเรียนรู้แบบฉบับของ 30 ทายาทนักสืบนครบาล พ.ต.ท.สมภพถ่ายทอดว่า เก็บเกี่ยววิชาจากแหล่งข้อมูลจริง ตั้งแต่องค์การโทรศัพท์ที่ใช้เทคโนโลยีดาวเทียมมาร่วมกับงานสืบสวน เรียนรู้การทำงานของกองพิสูจน์หลักฐาน จากสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อตรวจดูพยานหลักฐานและการผ่าชันสูตรพลิกศพต้องเรียนรู้ยิ่งกว่าพนักงานสอบสวนจากทะเบียนประวัติอาชญากรรม แม้กระทั่งธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับบัญชีการเงิน ได้ฝึกหลักสูตรมนุษย์กบ การเก็บกู้วัตถุระเบิด การซุ่ม การเจราจนต่อรอง ล้วนเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่คิดเลยว่าจะได้เข้าไปศึกษา

ทำงานอยู่กองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาล 3 ไม่นาน วันหนึ่งมีคำสั่งให้ย้ายเป็นสารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางพลัด ถิ่นเก่าที่คุ้นเคยเหตุเพราะมีคดีคนร้ายฆ่าปาดคอนักศึกษาสาวซอยตรงข้ามห้างตั้งฮั่วเส็ง แต่สารวัตรสืบสวนไม่ได้ไปดูที่เกิดเหตุ อ้างติดเป็นพยานศาล ทำให้ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลขณะนั้นมีคำสั่งย้ายด่วนเอาเขาไปทำหน้าที่แทน

ทว่าการคืนโรงพักบางพลัดเที่ยวนี้ไม่ได้สุขสบายเท่าใดนัก แม้ผู้บังคับบัญชาจะไว้วางใจในคดีสำคัญ แต่ต้องไปดูแลความเรียบร้อยบ้านนายกรัฐมนตรีที่กำลังมีความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมทางการเมืองอยู่เป็นประจำ พ.ต.ท.สมภพต้องหาสถานที่สร้างบ้านพักให้ตำรวจที่ต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง และยังทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดชุมชนสัมพันธ์คอยเจรจาแกนนำผู้ชุมนุมเพื่อประสานทีมงานนายกรัฐมนตรี แต่สุดท้ายกลับเจอย้ายกระเด็นไปไกลเป็นสารวัตรรป้องกันปราบปรามอยู่โรงพักพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ สังเวยพิษบ่อนพนันในพื้นที่

กระนั้นก็ตาม เขาพัฒนาโรงพักจนได้รับรางวัลอันดับ 1 ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ทั้งที่ตอนแรกผู้ใหญ่บ้างคนไม่ชอบขี้หน้าเนื่องจากเห็นว่า โดนจับบ่อนในนครบาล เหมือนเป็นคนไม่ดีถูกส่งมาอยู่ในพื้นที่ พอพัฒนาโรงพักจนได้รับคำชมเชยพร้อมกับเปลี่ยนมาเสียดาย เมื่อ “ปรีชา ธิมามนตรี” ผู้เสมือนเป็นอาจารย์ชักชวนไปร่วมงานอยู่ชุดสืบสวนคดีสำคัญ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า อำเภอเมืองยะลา ในช่วงสถานการณ์การความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

นำเอาวิชาที่ร่ำเรียนมาเข้าไปช่วยเจรจาต่อรองตัวประกันจากคนร้ายล็อกตัวนางพยาบาลขู่ระเบิดโรงพยาบาลนราธิวาส  ก่อนคลี่คลายคดีสำคัญเกี่ยวกับความมั่นคงในพื้นที่หลายคดีภายใต้ศูนย์ควบคุมและสั่งการ ( Command Control Operations Center : CCOC) ที่ไปร่วมกันวางระบบไว้ใช้บริหารสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  เสร็จแล้วย้ายมาเป็นสารวัตรงานศูนย์ข้อมูลและการข่าว ศูนย์สืบสวนตำรวจนครบาล ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ

ผลงานความภาคภูมิใจ พ.ต.ท.สมภพบอกว่า เป็นรุ่นบุกเบิกการสืบสวนของนครบาลที่ทำแฟ้มคดีเป็นสำนวนการสืบสวนเป็นโรงพักแรกสมัยอยู่บางพลัด นำไปใช้ตามรอยคนร้ายที่ยังไม่มีเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วย  ยกตัวอย่างคดีฆ่าทุบหัวฝังดินใกล้สะพานพระราม 6  คนร้ายเป็นคนงานโรงเลื่อยชาวศรีสะเกษ ต้องแกะจากบัตรประชาชนใบเดียวเพื่อแตกแขนงเครือญาติ ขับรถไปค้นข้อมูลถึงศรีสะเกษ รู้ว่าย้ายภูมิลำเนามาชลบุรี ต้องย้อนลงมาชลบุรีหาข่าวต่อจนรู้บ้านพัก และตามจับได้ในที่สุด  “ นี่คือ นักสืบเดินดินสมัยก่อน ไปนั่งกินเหล้าเป็นร้าน ๆ อยู่กับญาติเป้าหมายเพื่อให้ได้ข้อมูล นักสืบสมัยก่อนทำงานกันอย่างนี้ ตามไม่ได้ไม่กลับนะ ไม่ได้ตัว เพราะฉะนั้นนายจะรู้ว่า ไอ้ภพจะต้องให้ได้ ไม่ได้มันไม่กลับหรอก ไม่หมดตังค์ ไม่กลับ  ต้องโทรให้เมียส่งตังค์ไปให้ด้วยซ้ำ ผมเจาะเอาข้อมูลด้วยตัวเอง”

ทิ้งท้ายเขาอยากฝากนักสืบรุ่นหลังว่า เรื่องของจริยธรรมสำคัญสุด 30 นักสืบที่ผ่านการอบรมครั้งนั้นไม่มีสักคนเสียหายในเรื่องจริยธรรม เช่น ไปเที่ยวเอาเงิน ไปเที่ยวรังแกชาวบ้าน หรือว่าไปทำผิดวินัย ผิดทำนองคลองธรรม ไม่มี ถามว่า ทำไมไม่มี เพราะเราจะไม่ทำให้ครูบาอาจารย์เสียหาย เราไม่ทำให้เสียชื่อ ตรงนี้คือจริยธรรม อยู่ในทำนองคลองธรรม ขณะเดียวกัน นักสืบไม่มีตำรากฎเกณฑ์ที่แน่นอน เพราะฉะนั้นต้องศึกษา และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตลอดระยะเวลา

“อีกอันสำคัญสุด คือ การวางแผนในเรื่องการใช้ชีวิตครอบครัว ผมอยากจะให้ทุกคนใช้ชีวิตครอบครัวอย่างมีสติ เพราะว่า คนที่รอคอยเราอยู่ คือ ลูกกับเมีย สายสืบมักจะมีไปเพ่นพ่านอยู่กันแทบทุกคน  สิ่งสุดท้าย นั่นแหละไม่พ้นครอบครัว อนาคตครอบครัว คือ ความสุขที่แท้จริงของเรา บางคนต้องหย่าร้างบ้าง เพราะเรื่องงานเป็นเหตุ เพราะสายสืบที่ทำงานดี ทุกคนต้องทุ่มเท แล้วเวลานั้นลืมลูกกับเมียไป ทั้งลูกและเมียต้องการเวลา แต่เราไม่รู้จักแบ่งเวลาให้” นายตำรวจวัยเกษียณเป็นห่วง

“มีคนเดียว ที่ผมดูแล้วสะอาด บริสุทธิ์ และสง่างามที่สุดในสายตาของผม คือ ท่านสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ที่ทำงานอย่างมีจริยธรรม ทำงานอย่างมีสติ ทำงานด้วยการทุ่มเท ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้างอะไรต่าง ๆ เป็นผู้บังคับบัญชาที่น่ายกย่องว่า เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้อย่างสง่างาม”  

สมภพ นพคุณ !!!

 

 

 

 

 

RELATED ARTICLES