สืบเนื่องจากกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการไปตั้งฐานกระทำความผิดอยู่ตามแนวชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน และโทรศัพท์มาหลอกลวงคนไทย ในรูปแบบต่างๆ ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นเป็นจำนวนมาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ให้ความสำคัญในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มอบหมาย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบงานป้องกันปราบปราม กวดขันปราบปรามการลักลอบกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวตามแนวชายแดนมาอย่างต่อเนื่อง
ต่อมา พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับ พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยี นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 และพล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว นำกำลังลงพื้นที่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อตรวจสอบสถานีวิทยุคมนาคมที่ไม่ได้รับอนุญาต และสถานีวิทยุคมนาคมที่ได้รับอนุญาต แต่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขการได้รับอนุญาต เช่น หันตัวส่งสัญญาณไปยังประเทศเพื่อนบ้านรวมจำนวน 27 สถานี
ทั้งนี้เป็นผลจากการหลอกลวงและกระทำผิดทางเทคโนโลยีในปัจจุบันที่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นวงกว้างและมีมูลค่าความเสียหายที่สูงมาก ถือเป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจัง จากแนวทางการสืบสวนพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ส่วนใหญ่อยู่บริเวณแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้านอาศัยสัญญาณโทรศัพท์และสัญญาณอินเตอร์เน็ตจากประเทศไทยในการกระทำผิดหลอกลวงคนไทย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แกะรอยบริเวณใกล้แนวชายแดน อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
กระทั่งผบมีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย ประกอบด้วย การลักลอบตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต และหันสายอากาศไปยังประเทศเพื่อนบ้าน 4 สถานี อันเป็นการกระทำความผิดฐาน “มีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมและตั้งสถานีวิทยุโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต” ได้จัดการรื้อถอนและตรวจยึดอุปกรณ์ที่ใช้กระทำความผิด นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ขณะเดียวกัน มีสถานีวิทยุคมนาคมที่ได้รับอนุญาต แต่มีสายอากาศ หรือ sector หันไปทางประเทศเพื่อนบ้าน 23 สถานี เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ผู้รับใบอนุญาต เร่งแก้ไขปรับปรุงหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้ถอนการติดตั้งสายอากาศบางจุด หรือปรับทิศทางสายอากาศ มิให้แพร่สัญญาณออกนอกประเทศไทย
นอกจากนี้ยังสามารถล่อซื้อจับกุมผู้ลักลอบจำหน่าย ซิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือซิมม้ามีการลงทะเบียนใช้งานโดยบุคคลอื่นที่ไม่ใช้ผู้ใช้งานจริงบริเวณแนวชายแดนในพื้นที่ตลาดโรงเกลือได้เป็นจำนวนมาก ดำเนินการจับกุมผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และตรวจยึดของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
“ปฏิบัติการครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สามารถทลายสถานีส่งสัญญาณบริเวณแนวชายแดน เป็นเครื่องมือของกลุ่มมิจฉาชีพที่มีการลักลอบนำสัญญาณจากประเทศไทยเข้าไปใช้ในประเทศเพื่อนบ้าน และย้อนกลับมาหลอกลวงคนไทย ถือเป็นการตัดวงจรของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือ ซิม สาย เสา หากมีการตัดสัญญาณที่มีการลักลอบได้ จะทำให้การกระทำความผิดน้อยลง และกระทำได้ยากขึ้น ขณะนี้กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือตำรวจไซเบอร์ได้ลงพื้นที่เอ็กซเรย์ตรวจสอบพื้นที่แนวชายแดนทุกด้านแล้ว และจะมีปฏิบัติการในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อกดดันปราบปรามและตัดวงจรอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างถอนรากถอนโคน ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ว่า
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังได้ฝากประชาสัมพันธ์ไปถึงประชาชนว่า กลุ่มมิจฉาชีพมีการปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ๆ ตลอดเวลา เพื่อหลอกลวงข้อมูลจากเหยื่อ และมักแอบอ้างหน่วยงานของรัฐสร้างความน่าเชื่อถือ ขอให้พิจารณาตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนทุกครั้ง หากไม่แน่ใจแนะนำให้สอบถามกับหน่วยงานโดยตรง หรือสามารถสอบถามได้ที่ หมายเลขสายด่วน 1441 หรือ หมายเลขสายตรง 081-866-3000
