เรื่องราวยิ่งกว่าละครในโลกนิยายของชีวิต “เมียหลวง” ถูกผัวตัวเเสบฮุบสมบัติกว่า1,000ล้าน มี 7พี่ น้องร่วมกันวางแผน ลูก ๆ วอนพ่อกลับใจ พร้อมเผยไม่เคยโกรธ หากวันไหน “เมียน้อย” ทิ้งก็จะไปรับพ่อมาเลี้ยงดูเหมือนเดิม
จากการนำเสนอข่าวโซเชียล กรณีของ 3 แม่ลูกที่ออกมาร้องสื่อ หลังถูก “สามี”รวมหัวกับพี่น้องอีก 6 คน ฟ้องศาลฮุบสมบัติเป็นที่ดินทั้งหมด19 แปลง หรือเกือบ 200 ไร่ มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท กลายเป็นประเด็นในสังคม มองฝ่ายชายใจอำมหิตทำกับ ลูกเเละเมียได้อย่างเลือดเย็นเพียงเพื่อหวังสมบัติที่ตัวเองไม่ได้ก่อร่างสร้างขึ้นมา
ล่าสุดแม่ลูกทั้ง 3 คนได้ออกมายืนยันเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง พร้อมทั้งแสดงหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่า ที่ดินทั้งหมด19 แปลง ที่ผัวตัวแสบพร้อมพี่น้องฮุบไปเป็นกงสีของตระกูลนั้น เป็นทรัพย์สินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง ไม่ใช่เงินกงสี ตามที่ถูกกล่าวอ้าง
หนึ่งในหลักฐานเด็ดเป็นพินัยกรรมที่ดินของพ่อสามี ประกอบด้วย ร้านทองกับที่ดิน 5 แปลงเป็นสินสมรส พร้อมหลักฐานการซื้อขายที่ดิน 14 แปลง ริมถนนสายเอเชีย อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเงินที่หามาจากน้ำพักน้ำแรงของพวกเขา ไม่ใช้เงินกงสีตามที่สามีร่วมกับพี่น้อฝรวม 7 คน กล่าวหาไปฟ้องคดีต่อศาลจนที่ดินถูกยึดไปทั้งหมด
เมียหลวงวัยกว่า70 ปีระบายทั้งน้ำตาว่า ได้แต่งงานกับสามีตอนอายุ22 ปี ด้วยการคลุมถุงชน จากนั้นอยู่กินกันฉันสามีภรรยา หม้อข้าวยังไม่ทันดำ เพราะผ่านไปเพียงหนึ่งเดือน ฝ่ายชายเริ่มออกลาย ทำนิสัยเจ้าชู้ให้เห็น แต่ต้องทน เพราะถือว่า อยู่กินกันแล้วและกลัวพ่อแม่เสียใจ กระนั้นก็ตามต่างช่วยกันทำมาหากิน ด้วยการเปิดกิจการร้านทองในตลาดหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา เมื่อปี 2518 ก่อนมีลูกด้วยกัน 2 คน
ทั้งคู่สร้างเนื้อสร้างตัวเริ่มมีฐานะ ซื้อที่ดินเก็บไว้ทั้งหมด5 แปลง เพื่อเป็นสมบัติและทุนให้กับลูกในอนาคต กระทั่งปี 2531-2532 ฝ่ายชายหางโผล่ หนีไปมีเมียน้อยเป็นนักร้องกลางคืน ปรนเปรอสารพัด ซื้อบ้านเพื่อไปอยู่ด้วยกัน และแยกทางกับเมียที่เคยตกลงปลงใจร่วมหอลงโรงกัน แต่ตกลงว่าจะยกกิจการร้านทองให้ลูกชายขณะนั้นวัย 16 ปี กับลูกสาววัย 15 ปี เช่นเดียวกับที่ดิน 5 แปลงเป็นสินสมรสด้วย
หลังจากนั้นชีวิตทั้งสามคนแม่ลูกไม่ได้สุขสบาย ต้องช่วยกันทำมาหากิน เพราะเมื่อก่อนราคาทองไม่สูง แค่ไม่กี่พันบาท และไม่มีพ่อที่เป็นหัวหน้าครอบครัวแล้ว ในที่สุดลูกทั้งสองต้องออกจากโรงเรียนกลางคันไปช่วยแม่ขายทำมาหากินอย่างจริงจัง ด้วยความมุมานะของทั้งสามคน ทำให้กิจการร้านทองไปได้ดี มีเงินเก็บ ต่อยอดไปซื้อที่ดิน 14 แปลงริมถนนสายเอเชีย อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมกับที่ดินสินสมรสเดิมที่ทั้งคู่ยกให้ลูกอีก 5 แปลง รวมเป็น 19 แปลง ปัจจุบันมีมูลค่าที่ดินสูงกว่าพันล้านบาท
ต่อมาปี 2556 หลังผัวตัวแสบทิ้งครอบครัวไปอยู่กับเมียน้อยนานกว่า 30 ปี ได้ย้อนกลับมาทำร้ายลูกอีกรอบ ด้วยการสร้างเรื่องวางแผนกับน้องๆ อีก 6 คน หวังจะฮุบสมบัติที่เป็นที่ดินของลูกทั้งหมด19 แปลง เป็นโจทก์ฟ้องเมียหลวงเป็นจำเลย เรียกร้องว่า ที่ดินของลูกเป็นกงสีตระกูล เมื่อศาลฎีกาตัดสิน น้อง ๆของสามีได้นำที่ดินของลูกทั้งสองไปแบ่งกัน และพ่อตัวแสบได้รับส่วนแบ่งด้วย ท่ามกลางความทุกข์ระทมของเมียหลวงและลูกทั้งคู่ ไม่แยแสความรู้สึกจะเป็นอย่างไร “ตอนนั้นเสียใจมาก สงสารลูกๆ เพราะมันเหมือนทุกอย่างในชีวิตของพวกเขาล่มสลายไปหมดไม่เหลืออะไรแล้ว” เจ้าตัวระบาย
ด้านลูกสาวเปิดใจทั้งน้ำตาว่า ในช่วงที่พ่อทิ้งไปอยู่กับผู้หญิงอื่น เป็นช่วงที่แม่ป่วยหนักพอดี ทำให้ตนและพี่ชายต้องต่อสู้กับชีวิตกันตามลำพัง ความรู้สึกตอนนั้น คือ ความทุกข์ที่สุดแล้ว เพราะด้วยทั้งภาวะครอบครัวที่ล่มสลาย พ่อแยกทาง แต่ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะยังเด็ก ได้เเต่เฝ้าภาวนาให้แม่ปลอดภัยจนในที่สุดเหมือนฟ้ามีตา ผลการรักษาปรากฏว่า แม่ปลอดภัยดี
เธอและพี่ชายทำทุกอย่างเพื่อให้แม่ภูมิใจ และร่วมกันสร้างฐานะขึ้นมาใหม่ ออกจากโรงเรียนช่วยแม่ทำมาหากินจากกิจการร้านทอง สร้างฐานะมาเรื่อยๆ จนมีเงินเก็บ ซื้อที่ดินดังกล่าวได้ แต่ในขณะที่ชีวิตของทั้งสามคนกำลังจะดีขึ้น กลับถูกพ่อมากระชากความสุขทิ้ง เหมือนย้อนคืนมาฆ่าลูกๆทั้งเป็น ด้วยการพาอาอีก 6 คนฟ้องร้องเอาที่ดินทั้งหมดไป
ศาลฎีกาตัดสินให้พ่อชนะคดี เธอและพี่ชายตัดสินใจไปถามพ่อ “ทำกับลูกแบบนี้ทำไม ทั้งที่พ่อก็รู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่าที่ดินทั้งหมด เธอและพี่ชายร่วมกันสร้างขึ้นมา” คำตอบที่พวกเธอได้รับจากปากผู้เป็นพ่อว่า “อาทั้ง6 คน อยากได้ที่ดิน และขอให้พ่อให้การแบบนั้น”
ได้ยินเช่นนั้น เธอเสียใจมากกับสิ่งที่พ่อ และอาทั้ง6 คนกระทำกับครอบครัวเธอ ที่ผ่านมาเธอและพี่ชายไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ เพราะคิดมาตลอดว่า อยากให้ฃพ่อภูมิใจในความสำเร็จที่เธอและพี่ชายเรียนหนังสือจนได้รับปริญญาในวันเดียวกัน และร่วมกันสร้างฐานะขึ้นมาจนมีชีวิตดีขึ้นเท่านั้น
ขณะที่พี่ชายบอกว่า หลังจากที่ถูกฟ้องคดีรู้สึกตกใจ ทั้งที่พ่อ และอารู้อยู่แล้วว่า ที่ดินทั้งหมดเป็นของตนและน้องสาวที่ร่วมกันสร้างขึ้น ไม่ใช่ของกงสี เรามีหลักฐานการซื้อขายที่ดิน รวมถึงผู้ถือกรรมสิทธิในโฉนด และเส้นทางการเงิน แต่หลังจากที่ศาลตัดสินเหมือนเราถูกฟ้าผ่าลงมากลางใจที่พ่อแท้ๆ และอามาทำกับเราแบบนี้ “อย่างไรก็ตามเราสามคนก็ไม่ได้ท้อ และร่วมกันฮึดสู้อีกครั้ง เพราะ เชื่อว่า ความยุติธรรมนั้นต้องมีจริง อยากทำทุกอย่างให้คุณแม่ภูมิใจ และไม่ต้องห่วงเราสองพี่น้องว่าอนาคตจะต้องยากลำบากอีก”
ทั้งนี้ ลูกสาว และลูกชายยังได้มีความในใจอยากบอกผู้เป็นพ่อว่า ให้นึกผิด นำที่ดินทั้งหมดมาคืนพวกเขา ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยโกรธ หรือเกลียดพ่อตัวเองเลยแม้แต่น้อย ยังรักและเคารพในตัวพ่อเหมือนเดิม ถ้าวันหนึ่งวันใดพ่อไม่มีใครดูแล ลูกทั้งสองพร้อมจะไปรับผู้เป็นพ่อมาเลี้ยงดูเพื่อทดแทนบุญคุณในยามบั้นปลายชีวิตของพ่อ เพราะสุดท้ายพ่อ คือ ผู้ที่มีพระคุณที่สุดของลูก