“แต่ก่อนเราไล่ยิงโจร ตอนนี้โจรไล่ยิงเจ้าหน้าที่ ฟังแล้วเจ็บปวดไหม”

ต้นแบบของนักรบสมรภูมิใต้ที่ถือเป็นตำนานอีกคน ย่อมไม่พ้น พล.ต.ท.ธีรวุฒิ บุตรศรีภูมิ ที่สร้างวีรกรรมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ในดินแดนปัตตานี ตั้งแต่วัยหนุ่มจวบจนเกษียณอายุราชการยังไม่วายนั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบดูแลสถานการณ์จังหวัดชายแดนใต้อีกครั้ง

เขาเกิดที่นครราชสีมา กำพร้าพ่อตั้งแต่อายุ 7 ขวบ อาศัยอยู่กับแม่ที่เป็นชาวนาเพียงลำพัง ในชีวิตไม่เคยคิดเป็นตำรวจ และไม่เคยคิดได้เป็นรัฐมนตรี แต่เจ้าตัวเชื่อว่า เป็นเหมือนพรหมลิขิต หรือขีดเส้นไว้

“ผมเป็นเด็กที่ไม่ค่อยมีความคิด ไม่มีความฝันในอนาคต แต่แม่อยากให้เป็นครู ผมก็ตั้งใจไม่ขัดใจแม่” พล.ต.ท.ธีรวุฒิ ย้อนอดีต เขาเข้ากรุงเทพฯไปเรียนมัธยมโรงเรียนทวีธาภิเษก ก่อนสอบเตรียมอุดมศึกษา ทว่าพลาดเป้าแถมกลับไปโรงเรียนเก่าไม่ได้เลยต้องเข้าต่อโรงเรียนวัดสระเกศจนจบชั้นมัธยม 8 เตรียมสมัครเข้าวิทยาลัยครูประสานมิตร เพื่อเป็นครูตามที่แม่บอก ระหว่างรอสอบ โรงเรียนนายร่อยตำรวจเปิดสมัครตรงไม่ต้องผ่านเตรียมทหาร ธวัชชัย จุลสุคนธ์ เพื่อนวัดสระเกศที่เรียนด้วยกันจงชวนไปสอบ

สุดท้ายมีชื่อติดนักเรียนนายร้อยตำรวจคนที่ 20 ของรุ่น 20 ด้วย พล.ต.ท.ธีรวุฒิบอกว่ามันเป็นเหมือน ลิขิตไว้เลยจริง ๆ อย่างที่บอกไว้ตอนแรกต้องการทำตามใจแม่ที่ให้เป็นครู ไม่คิดจะเป็นตำรวจ แต่เมื่อสอบได้ก็เรียน ได้รับคัดเลือกเป็นนักเรียนปกครองตอนจะขึ้นปี 4 สอบได้ที่ 6 ยุคนั้น คนที่ 1 จะได้ทุนไปเรียนต่ออเมริกา มีความฝันอยากไป อยู่ในท็อปเทน เป็นนักเรียนปกครองตำแหน่งผู้ช่วยผู้บังคับหมวด ต้องปกครองชั้นปี 1 ฝึกหนักสุด นักเรียนตื่นตี 5 เราต้องตื่นก่อน เพื่อเตรียมตัวรอฝึก นักเรียนนอน 3 ทุ่ม เราต้องนอนหลังนักเรียน เขาเข้าห้องเรียน 8 โมง ผู้ช่วยมีสิทธิเข้าตอนไหนก็ได้ เพราะต้องไปตรวจปี 1 จะออกจากห้องเรียนตอนไหนก็ได้ เพราะต้องไปดูนักเรียนปี 1 ว่า ใครหลับ หรือไม่หลับ เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าห้องเรียนจริง ๆ ก็ปาไปเกือบ 9 โมง ทำเอาคะแนนเรียนรูดจากที่ 6 ไปจบที่ 40 กว่าส่งผลให้ต้องลงไปอยู่อำเภอหนอกจิก จังหวัดปัตตานี

“มันคงเป็นดวงอีกเหมือนกัน ถ้าไม่ได้ไปอยู่ใต้คงไม่โตถึงขนาดนั้น เพราะเราเป็นคนวิ่งเต้นไม่เป็น เอาใจผู้ใหญ่ไม่เป็น อยู่ที่เนื้องานอย่างเดียว ไปอยู่ใต้งานหนัก พื้นที่ตรงนั้นมีปัญหามานานแล้ว แต่ไม่รุนแรงเท่าปัจจุบันนี้ ความรู้สึกตอนนั้น ขึ้นรถไฟไปคนเดียว ไม่รู้จักเลยชีวิตปัตตานีมันเป็นอย่างไร เพราะเรามันคนอีสาน เคยลงใต้ไกลสุดสมัยนั้นก็แค่หัวหิน ไม่เคยไปไกลขนาดนั้นเลย ไปตัวคนเดียว”อดีตนักรบแดนใต้ถ่ายทอดเรื่องราว

เขาว่า ก่อนจะลงไปเป็นผู้บังคับหมวดที่ภาคใต้ มีโอกาสได้ศึกษางานอยู่โรงพักบางยี่เรือนาน 6 เดือน ไปเจอเรื่องเหลือเชื่อ ระหว่างเดินตรวจพื้นที่แถววงเวียนใหญ่  หมอดูคนหนึ่งจับมือดูแล้วทายว่า ให้ระวังประมาณกลางปี 2511 จะอันตรายถึงชีวิต ตอนแรกฟังแล้วไม่คิดอะไร ไปรับตำแหน่งที่หนองจิกตอนต้นปี พอวันที่ 11 มิถุนายน 2511 ถูกยิง

เหตุการณ์วันนั้น พล.ต.ท.ธีรวุฒิ เล่าว่า นำกำลังไป 6 คน ปะทะโจรถึง 30 คน ไล่ยิงกันกลางทุ่งนา เราเป็นหัวหน้าชุด เด็กหนุ่มไฟแรง ยุคนั้นนักเรียนนายร้อยมีไม่มีกี่คน คนหนุ่มไม่มี ผู้กำกับให้เป็นหัวหน้าคุมกำลัง ไปตั้งชุดปฏิบัติการอยู่อำเภอยะรัง เขตติดต่อหนองจิก มีกำลังตำรวจรวม 11 นาย คิดว่า พวกโจรคงรู้ และวางแผนจะซุ่มยิงอยู่แล้ว เพราะตอนกลางดึกมันยิงปืนดังจากหมู่บ้านไทยพุทธห่างจากฐานเรา 3 กิโลเมตร บังเอิญคืนนั้นกำลังเปลี่ยน ลูกน้องมากันแค่ 5 คน ที่เหลืออีก 5 คนยังไม่มา ตัดสินใจยังไม่เข้า

พวกเขานอนฟังเสียงปืนจนถึงตีสามแล้วเดินออกจากฐานที่พักลาดตระเวนถึงหมู่บ้านไทยพุทธราวตีห้า ฟ้าเริ่มสาง ชาวบ้านให้ข้อมูลว่า เสียงปืนดังมาจากนอกหมู่บ้าน หมวดหนุ่มจึงพาลูกน้องออกไปพ้นหมู่บ้านเป็นทุ่งนา เห็นปลอกกระสุนปืนเกลื่อนเต็มไปหมด เขาคิดว่า ถ้าตัดสินใจผลีผลามมาตอนกลางคืนคงเป็นเป้าไปแล้ว ถึงกระนั้นก็ตาม เขายังเห็นกลุ่มโจรซุ่มอยู่ท้ายนาไกล ๆ เลยแบ่งกำลังลูกน้อง 3 คนไปอีกทาง ส่วนที่เหลือเขาวิ่งนำหวังไล่กวดให้ทัน

“หัวหน้าชุดมันนอนซุ่มอยู่ข้างทาง ดักยิงผมพอดี กระสุนเข้าหูเฉียดกะโหลกไปนิดเดียว พอถูกยิง ผมล้มนอนหมอบค่อย ๆ โผล่หน้ามาดู พอพ้นหัวคันนา กระสุนพุ่งเข้ามาเลย ถ้าสูงอีกนิดถูกหน้าผากแน่ โชคดีถูกดินข้างล่างกระจุย ผมยังจำภาพได้ ผมปักหลักกับลูกน้อง 2-3 คนยิงกับมัน อยู่ชั่วโมงกว่า ผมใช้ปืน 05 นาโต้ เป็นปืนแรงที่สุดในสมัยนั้นใส่แม็กกาซีนได้ 20 กว่านัด พกไป 5 แม็ก 100กว่านัด นอนยิงจนมันถอย เพราะตัวหัวหน้ามันคือ เซ็งสะมือ ตอ ถูกผมยิงหลังขาดตายพร้อมลูกน้องอีก 2 คน ที่เหลือมันถอยไปเลย” พล.ต.ท.ธีรวุฒิว่า

“ตอนนั้นเหลือปืนพกลูกโม่กระสุน 6 นัดกันไว้สุดท้าย ถือเป็นครั้งแรกในชีวิต มันมาก พวกเราไม่มีใครเป็นอะไร มีผมโดนคนเดียว ไปหาหมอ เขาบอกว่า อีกนิดเดียวเข้ากะโหลกตรงสมองเลย ทำให้นึกถึงคำหมอดู ดวงผมแคล้วคลาด ผมไม่มีพระ ผมไม่มีความรู้เรื่องพระ ไปปัตตานียุคนั้นหลวงพ่อทวดกำลังดังมาก ผมไม่เคยหาเลย แต่แม่ผมเสียตอนอยู่ปี 4 ผมเอาผ้าขาวไปพิมพ์ลายมือลายเท้าแม่แล้วเอากระดูกแม่มาห่อใช้สายสิญจน์พันคล้องคอไว้อาจเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองผม”

ตำนานนักรบปัตตานีเชื่ออย่างนั้น เพราะถัดจากเหตุการณ์ปะทะครั้งแรก ตัวเขายังเจอกระสุนเฉียดตายอีก 2 เที่ยว หลังย้ายไปอยู่สถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานีเมื่อปี 2512 ตามจับยูโซะ คูระ หัวหน้าโจรที่หนีไปกบดานพัทลุง พล.ต.ท.ธีรวุฒิบอกว่า ถูกยิงครั้งแรก แต่งงานแล้ว แฟนร้องไห้ พอครั้งที่ 2 ออกจากป่าพาสายไปพบผู้กำกับ แต่ให้ลูกน้องพาสายไปรอก่อน ตัวเองแวะบ้านบอกเมียเดี๋ยวจะมากินข้าวกลางวันด้วย ขอไปพบผู้กำกับก่อน พอไปเจอผู้กำกับก็โดนคำสั่งให้ไปเดี๋ยวนั้นเลย ไม่ได้กลับบ้าน เมียรอกินข้าวกลางวันยันเย็น กลางคืนเมียฝันว่า เราถูกยิง แต่เราถูกยิงเช้าวันรุ่งขึ้นระหว่างบุกชาร์จจับ โชคดีปัดปืนทันกระสุนเลยเข้าแขน ไม่เข้าตัว

ส่วนครั้งที่ 3 ถือว่าหนักสุด เหตุเกิดเมื่อปี 2524 ขยับจากตำแหน่งสารวัตรใหญ่เมืองปัตตานี ขึ้นเป็นรองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานีไล่ล่าแกนนำ “ยูโซะ ท่าน้ำ” ปิดล้อมกลางป่าลึกข้ามวันข้ามคืน ก่อนถูกกระสุนเข้าแขนขวากระจุย หนักถึงขั้นเกือบต้องตัดแขน ลูกน้องรีบพาส่งโรงพยาบาล หามลงมาจากเขาขึ้นเฮลิคอปเตอร์เสียเลือดมาก “วินาทีนั้น ผมบอกไม่ถูกหรอกว่า ตัวเองจะตาย หรือไม่ตาย คิดถึงแต่ลูก เมียมากกว่า หมอบอกว่า วิธีการรักษาผมง่ายที่สุด คือ ต้องตัดแขนอย่างเดียว แต่ยากที่สุด คือ รักษาแขนไว้ ผมถูกส่งมาโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ โชคดีเจอหมอเก่ง ดูแลรักษาแขนจนไม่โดนตัด นอนอยู่โรงพยาบาล 6 เดือน”

“ ผมรอดมาได้ทุกครั้ง กระสุนไม่เคยถูกตัว มีพระอาจารย์ทักหลายคนว่า พ่อแม่รักลูก ถ้าลูกดื้อจะตีสั่งสอน แต่จะไม่ทำอันตรายตัว กระสุนที่ถูกเราหนักสุด คือ แขนเกือบขาด กับโคนขา แต่ตัวไม่ถูก ผมเชื่อมั่นตรงนี้” นายพลวัยเกษียณคิดถึงมารดาผู้ให้กำเนิด

หลังจากรักษาตัวจนหลายดีแล้ว พล.ต.ท.ธีรวุฒิ ยังคงเข้าร่วมยุทธการรบในดินแดนปลายด้ามขวานอย่างต่อเนื่องชนิดไม่มีภูเขาตรงไหนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ตัวเองไม่เคยเหยียบ ส่วนชีวิตราชการเติบโตเรื่อยมา ได้เป็นผู้กำกับภูธรจังหวัดชุมพร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 11 ผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจภูธร 4 ผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 11 ผู้ช่วยผู้บัญชาการ ประจำกรมตำรวจ รองจเรตำรวจ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 กระทั่งปี 2541 ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 คุมดินแดนด้ามขวานไทยเต็มตัว ก่อนขยับเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 และเกษียณอายุตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ในฐานะคร่ำหวอดทำงานพื้นที่ชายแดนภาคใต้มานาน อดีตนักรบกระดูกเหล็กแสดงความเห็นว่า เราอยู่จนพูดภาษายาวีได้ ต้องยอมรับว่า เวลาคุยกับชาวบ้าน ถ้าพูดไทย บางทีเขาไม่พูดด้วย ต้องพูดท้องถิ่น ขนาดไปตามชนบท เขายังไม่ยอมขายหมูให้เลย เขานึกว่า เราเป็นคนมุสลิม สมัยก่อนเวลาไปเข้าแผนพาลูกน้องไป เราจะวิ่งไปหาจุดที่ปะทะ กระสุนปืนถากหัวก็ธรรมดา มันเป็นคนรู้สึกของเด็กหนุ่มที่ไม่เคยกลัว ต้องการจับโจรให้ได้ เอาตัวคนร้ายให้ได้ ไม่ได้คิดอะไร รอดชีวิตมาได้ทุกวันนี้ก็บุญมหาศาลแล้ว ปะทะทีไรหัวหน้าโจรตายเกือบหมด

นายพลตำรวจเก่าบอกว่า  ปัญหาภาคใต้บางเรื่องพูดความจริงไม่ได้ บางเรื่องความจริงคนก็ไม่ยอมรับ ปัญหาเกิดขึ้นมานานตั้งแต่ปี 2480 กว่าแล้ว แต่เราแก้ปัญหาไม่ตรงจุด หลายประเทศในโลกก็เป็นแบบนี้ แต่การจัดการของประเทศอื่นทำไปแล้วดีขึ้น ทำไมประเทศไทยหนักขึ้น การแก้ไขปัญหาในอดีตไม่เข้าใจว่า แนวทางนั้นถูกหรือผิด แต่สิ่งที่พิสูจน์ทุกวันนี้ คือ เราแก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าแก้ได้มันไม่ควรจะรุนแรงขนาดนี้ ในความเห็นส่วนตัว คิดว่า การแก้ปัญหาไม่ได้ ผิดเพราะนโยบาย ผิดทั้งรัฐบาล ลงไปถึงเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ

“ยุคผมอยู่ตั้งแต่ร้อยตำรวจตรี ถึงผู้บัญชาการ ผมเข้าได้ทุกพื้นที่ ทุกตำบล ทุกอำเภอ แต่ว่ายุคนี้ไม่ได้เลย ผมมีลูกน้องเป็นมุสลิม รู้จักชาวมุสลิมไม่น้อย ส่วนใหญ่เชื่อถือได้ มีศีลธรรมรักความถูกต้อง ผมยิงมาเยอะ ปะทะมาไม่น้อย ไม่เคยมีปัญหา เพราะทำตรงไปตรงมา ของจริง ไม่เคยจับมาฆ่า มากลั่นแกล้ง เมื่อก่อนผมไปไล่ยิงโจรนะ โจรส่วนใหญ่อยู่ในป่าเขา ต้องขึ้นไปตามล่า ผมกับลูกน้องต้องแอบเข้าไปซ่อนอยู่กลางหมู่บานเพื่อรอยิงโจรอยู่ 5 วัน ผมทำถึงขนาดนั้น โจรยุคนั้นทำมาหากินด้วยการทำความเดือดร้อนแก่ประชาชน เรียกค่าคุ้มครอง ปล้น ต่างจากยุคนี้ สมัยนั้นถ้าโจรตาย ชาวบ้านก็จะไม่ว่าเจ้าหน้าที่ ตายแบบต่อสู้กัน ยิงกัน ผมเป็นตัวอย่างได้ชัดเจน เพราะผมก็ถูกยิงหลายครั้ง ไม่ใช่ผมยิงเขาข้างเดียว” อดีตตำรวจชื่อก้องเสียงดัง

“พูดแล้วเจ็บปวด ทุกคนเก่งหมด รู้ดีหมด ลูกน้องเคยถามผมว่า นายแต่ก่อนเราไล่ยิงโจร ตอนนี้โจรไล่ยิงเจ้าหน้าที่ ฟังแล้วเจ็บปวดไหม ผมไม่เคยให้โจรไล่ยิง โจรอยู่ไหนเราไป มีแต่โจรหนีเรา ไม่กล้า ผมไป 6 คน โจร 30 ผมก็ไล่ยิง ผมไม่เคยกลัว แต่ทุกวันนี้ กับตรงกันข้าม นี่คือ ความจริงที่เจ็บปวด สถานการณ์ภาคใต้ ตั้งแต่ปล้นปืน 47 ผมบอกว่า ถ้าคุณทำแบบนี้ ไม่มีทางได้เหมือนเดิมแล้ว  เพราะขาดความเป็นเอกภาพ ขาดแนวทางที่ชัดเจน ต่อเนื่อง คนมุสลิมมั่นใจผม ยอมตายให้ผมได้ แต่กว่าจะมั่นใจเชื่อใจผม ต้องใช้เวลาเป็นปี ไม่ใช่วันสองวัน ไม่ใช่ไปอยู่ 3 เดือนแล้วเปลี่ยนกำลังสลับกันไปที ชาวบ้านกำลังจะเชื่อใจคนนี้ เขาก็ไม่เชื่อแล้วต้องมาเริ่มใหม่”

พล.ต.ท.ธีรวุฒิเปิดใจอีกว่า ในชีวิตมีความภูมิใจที่รู้สึกเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว ทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาสู้กับโจร เราไม่เคยกลัว ถ้าดวงจะไม่ตาย คือไม่ตาย ถ้าดวงจะตาย อยู่กรุงเทพฯก็รถชนตายได้ เราคิดแบบนี้ เวลาไปลุยถึงไม่เคยกลัว เรื่องตายเรื่องธรรมดา เวลายิงกัน ปะทะต่อสู้ ถ้าเราไปด้วยจะมีการตายฝั่งตรงข้าม เชื่อหรือไม่ว่า ลูกน้องโจรเป็นสิบ แต่ตัวหัวหน้ากลับตายทุกที แปลกเหมือนกัน ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราถูกยิงแล้ว

เจ้าตัวยังมีความประทับใจในผลงานสมัยเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษภูธรจังหวัดปัตตานีคนแรกในประวัติศาสตร์ สร้างชื่อเสียงบนสมรภูมิรบจนได้รับความไว้วางใจจากกองทัพภาค 4ให้เข้าร่วมในชุดเฉพาะกิจฤทธี ปฏิบัติการกวาดล้างถล่มฐานผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในยุทธการเขาช่องช้าง ที่สุราษฎร์ธานีจนประสบชัยชนะ ถือเป็นตำรวจหน่วยเดียวในประเทศที่ได้เข้าร่วมสมรภูมิดังกล่าว

นอกจากนี้ สมัยเป็นรองผู้บังคับการเขต 11 คุมพื้นที่นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง กระบี่ ได้รับตำสั่งให้ทำหน้าที่หัวหน้าทีมสอบสวนดำเนินคดี เอียด เส้งเอียด จอมโจรค่าไถ่พัทลุง ที่ก่อเหตุในเขตภาคใต้ตอนบนหลายสิบคดีจนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานฟ้องเอาผิด และลงโทษนายเอียดกับพวกสำเร็จทุกคดีปิดตำนานโจรเส้งเอียดได้ในเวลาต่อมา

“แต่มันเป็นกรรมเป็นเวรนะ ผมเสียเมียกับลูก ผมมีดวงคุ้มครอง แต่ไปออกกับเมียลูกที่ต้องมาตายก่อนเวลาอันควร เสียใจผลพวงที่ภรรยาจากไป ผมยังเชื่อเรื่องกรรมเรื่องเวร ผมถูกยิงแขนเสีย กระดูกงอเหยียดตรงไม่ได้ หมอจะใส่ข้อเทียมผมไม่เอา ขอเป็นธรรมชาติ มานึกตอนเด็กอายุ 11ขวบ ผมไปไล่ยิงกิ้งก่าแล้วก็หักขาปล่อยให้มันวิ่ง เหมือนกับที่ผมเป็นเลย ผมถึงเชื่อเรื่องกรรม ผมฆ่าคนตาย พรากลูกพรากเมีย ดวงผมดี หน้าที่ คือหน้าที่ แต่ไปออกกับภรรยาและลูกผม ปัจจุบันผมถึงไม่สนใจเรื่องอื่น ผมสนใจเรื่องศาสนา ผมกำลังจะศึกษาจริงจัง เราเรียนภาคทฤษฎีมาเยอะ แต่จริง ๆไม่ใช่แค่นี้ พุทธ คือ การปฏิบัติ”  

อดีตบิ๊กสีกากีที่ก้าวไกลอยู่ในคณะรัฐมนตรีขิงแก่ยังฝากแง่คิดถึงตำรวจรุ่นหลังว่า ส่วนใหญ่เป็นคนดี แต่ด้วยสภาพสิ่งแวดล้อม สภาพสังคม สภาพพื้นฐานเดิมด้วยบุญด้วยกรรม ทำให้คนแตกต่างกันไป อยากให้กำลังใจตำรวจที่ทำความดี และตั้งใจทำหน้าที่ ตำรวจเป็นอาชีพหนึ่งที่มีโอกาสสร้างบุญ ทำบุญไม่ใช่การบริจาคเงินอย่างเดียว การช่วยคนอื่นก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง ตำรวจกับหมอเป็นอาชีพช่วยคน หมอช่วยคนจากการเจ็บป่วยทางโรค แต่ตำรวจช่วยคนจากการเจ็บป่วยของสังคม ถือเป็นบุญมหาศาล

“คุณอย่าหวังสิ่งตอบแทน ขอให้ทำด้วยใจบริสุทธิ์ ผมมีความตั้งใจอย่างนี้มาตลอด ผลพวงของความมุ่งมั่นตรงนี้ ทำให้ผมมีโอกาสได้เป็นรัฐมนตรี ทั้งที่ไม่ได้คิดเลยในชีวิต ได้ทำงานเพื่อบ้านเมือง และอยากให้นึกถึงประชาชนเป็นส่วนใหญ่ ให้ความเป็นธรรม อย่าไปรังแกเขา ถ้าเราไปรังแกรีดไถเขา เป็นเราถูกกระทำเราก็คงไม่ชอบ ทุกวันนี้เป็นห่วงตรงที่ทำเพื่อพรรคการเมือง ทำเพื่อนักการเมืองมากกว่าทำเพื่อประชาชน ทั้งที่เรารู้อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรถูก อะไรไม่ถูก”

ธีรวุฒิ บุตรศรีภูมิ !!!

 

RELATED ARTICLES