“มึงเป็นสายสืบ มึงอย่าไปยุ่งกับที่เกิดเหตุ ให้เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวน”

 

ส่งเหล่ามิจฉาชีพเหลือเดนไปเกิดใหม่แล้วนับร้อยศพ

เอกลักษณ์ประจำตัวอันโดดเด่นไม่เหมือนใครจนได้รับฉายาว่า “มือปราบหูดำ” ตำนานนายพลคนดังอย่าง พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรองจเรตำรวจ สร้างเรื่องราวประดับยุทธจักรสีกากีไว้ไม่น้อย

จากเด็กบ้านนอกชาวกรุงเก่า ลูกชาวนาตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก ทุกเช้าก่อนไปเรียนหนังสือต้องทำความสะอาดคอกควาย ขนขี้ควายออกจากคอกเอาไปทิ้ง ชักซังข้าวทิ้งไว้ให้ควายกิน เสาร์อาทิตย์อยู่กลางทุ่งนาเลี้ยงควาย

เดิมทีไม่ได้ใฝ่ฝันจะเป็นตำรวจ  พอเรียนจบชั้นประถม 7 โรงเรียนวัดสะแก ไม่ได้เรียนต่อ เพราะพ่อแม่ยากจน ไม่มีเงิน ให้ทำนา ต่อมาพี่ชายมาจากกรุงเทพฯ เห็นว่า อยู่ว่างๆเลยพาเข้ากรุงไปเรียนหนังสือแถวโรงเหล้าบางยี่ขัน ก่อนไปลองสอบเตรียมทหาร แต่สอบเข้าไม่ได้ ไม่รู้จะไปเรียนต่อที่ไหน เพราะสอบพร้อมกันหมด ต้องกลับไปตั้งหลักบ้านเกิด อาชวนไปเรียนช่างต่อเรือสายอาชีพอยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นไปสอบเทียบสายสามัญชั้นมัธยม 8 เริ่มมีความคิดจะเป็นตำรวจ

สมัครสอบโรงเรียนตำรวจนครบาลครั้งแรกตกพละไม่ผ่านเข้าสนามข้อเขียน ปีถัดมาเตรียมตัวใหม่สู้กับผู้สมัครนับหมื่น รับ 540 คน คะแนนสอบดีติดเป็นคนที่ 14 ของรุ่น เข้าอบรม 6 เดือนท่ามกลางเหตุการณ์บ้านเมืองคุกรุ่น นักเรียน นิสิต นักศึกษา ช่างกล เดินขบวนประท้วง มีการตั้งกองร้อยปราบจลาจลครั้งแรก สังกัดกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ติดอาร์มสวยหน่วยเดียวของประเทศ

“ตัวผมใหญ่ หน่วยก้านดี ผู้ใหญ่เห็นเลยคัดเลือกเข้าไปอยู่หน่วยไฮแจ็คที่กำลังตั้งใหม่เหมือนกันไว้คอยปราบปรามเหตุคนร้ายจี้เครื่องบิน ฝึกหนักมากประมาณ 2 ปี เป็นรุ่นแรกโรยตัวจากตึก ปรากฏว่า มีเหตุการณ์ครั้งเดียวตอนสายการบินการูดาของประเทศอินโดนิเซียโดนสลัดอากาศก่อเหตุที่สนามบินดอนเมือง ดีใจมากว่า จะได้ไปปะทะกับคนร้าย แต่อินโดนิเซียเอาชุดของเขามาเอง เราแค่อยู่รอบสนามบิน” พล.ต.ต.วิชัยย้อนอดีต

กลายเป็นจุดพลิกผันทางความคิด เพราะไม่รู้จะอยู่ทำไม ไม่ได้ใช้ปฏิบัติหน้าที่จริง เบนเข็มไปแอบเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม นำวุฒิปริญญาตรีไปสอบเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจอบรมรุ่น 25 บรรจุเป็นรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลประชาชื่น ทำงานสอบสวนเข้าตา พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ ขณะนั้นเป็นรองผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ สนับสนุนให้ย้ายไปอยู่โรงพักพญาไท

ต่อมา พล.ต.ต.ประสงค์ วาสิกานนท์ เป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ โยกให้ไปทำหน้าที่รองสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลพญาไท ประเดิมจับตายคนร้ายข่มขืนพยาบาลโรงพยาบาลรามาธิบดี มี “โกสินทร์ หินเธาว์” เป็นสารวัตรสืบสวนเสมือนครูนักสืบคนแรกที่สอนตำราจากการลงพื้นที่จริง

ไม่นานเผชิญมรสุม ทันทีที่ พล.ต.ท.วินิจ เจริญศิริ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นำกำลังชุดเฉพาะกิจจับบ่อนปอ ประตูน้ำ ส่งผลให้ตำรวจพญาไทเจอคำสั่งย้ายกระจัดกระจายเกือบทั้งโรงพัก เขากระเด็นไปอยู่โรงพักบางมด ถูกกาหัวไม่ให้ทำงานฝ่ายสืบสวน เพราะมีประวัติด่างพร้อย แต่ด้วยความที่เก่งสอบสวน ใช้วิกฤติเป็นโอกาสในการทำสำนวนให้ผู้บังคับบัญชาส่งประกวดชิงพนักงานสอบสวนดีเด่นของกองบังคับการตำรวจนครบาลธนบุรี เป็นตัวแทนไปชนะระดับกองบัญชาการตำรวจนครบาล และกรมตำรวจในปีเดียวกัน

“ผมว่างานสอบสวนมันคู่กับงานสืบสวนนะ ถ้าใครเก่งสอบสวนมักจะทำงานสืบสวนได้ดี เพราะจะเอาพื้นของการสอบสวนไปต่อยอด เป็นเหตุผลที่ผู้ใหญ่เห็นผมมีชื่อด้านสอบสวนตั้งแต่อยู่พญาไท ท่านวิโรจน์ เปาอินทร์ และท่านโสภณ วาราชนนท์ ถึงมองแววออกว่า สามารถให้ผมไปเดินตรงนี้ได้ เป็นรางวัลขึ้นสารวัตรโดยไม่ต้องวิ่งเต้น ” 

ขึ้นเป็นสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชยเขต 2 เพียงปีเดียวเปลี่ยนมาตำแหน่งสารวัตรสืบสวน เริ่มบทบู๊ ทำวิสามัญฆาตกรรมคนร้ายสารพัดแก๊งที่เข้ามาก่อเหตุในพื้นที่ พล.ต.ต.วิชัยเล่าว่า พลับพลาไชยเขต 2 พื้นที่รับผิดชอบแค่ 0.9 ตารางกิโลเมตร โรงพักไม่เคยมีใครทำวิสามัญฆาตกรม เราติดตามต่อสู้คนร้ายตายไป 6 ศพ เป็นพวกนักเลงชอบปล้นบ่อน ดักชิงทรัพย์ทำร้ายคนจีนที่มาออกกำลังกายตอนเช้ามืด ทำจนคนในวงการพูดกัน ขาใหญ่ในพื้นที่เริ่มเกรงกลัวเรา บารมีกินไปในเขตปทุมวัน หัวลำโพง ตรอกสลักหิน ยันบางรัก เพราะเราเอาจริง ต้องคุมให้ได้ เพราะแก๊งพวกนี้สร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ

ทำผลงานดีถูกเสนอคืนถิ่นเก่าเป็นสารวัตรป้องกันปราบปรามโรงพักพญาไท เจ้าตัวบอกว่า ท่านประทิน สันติประภพ เป็นอธิบดีกรมตำรวจ เรากลัวจะโดนประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเสียประวัติเรื่องบ่อนอีก ตัดสินใจไปพบท่านชัยสิทธิ์ กาญจนกิจ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ขอย้ายเป็นสารวัตรจราจรโรงพักบางเขนดีกว่า “ถูกจวกเละเลยว่า มึงมันคนโง่ ไอ้โง่ เพราะอะไรมึงรู้ไหม ตำรวจจราจรมันตำรวจไม่มีสมอง มันโบกรถอย่างเดียว ไปอยู่ทำไม ฝีมือมึงก็มี ผมต้องแจงเหตุผลว่า ผมย้ายจากพญาไท เพราะถูกจับบ่อน จะให้ผมไปอีก เดี๋ยวโดนอีก”

สมใจได้เป็นสารวัตรจราจร สถานีตำรวจนครบาลบางเขน สร้างมิติใหม่ตำรวจหัวปิงปองทำโครงการเข้าตาชาวบ้าน อาทิ จ้าง เปี๊ยก โปสเตอร์ วาดภาพตำรวจจราจรเท่าตัวจริงเอาไปแปะทำหุ่นตามแยกหลายลีลา ให้ผู้ใช้รถใช้ถนนนึกว่า ตำรวจยืนอยู่จะได้ไม่กล้าแซงปาดหน้าตามแยกที่เลี้ยวซ้ายผ่านตลอดสลับกับตำรวจจริงยืนบ้าง  สร้างหอคอยตรงวงเวียนอนุสาวรีย์บางเขนเพื่อดูสภาพการจราจรในมุมสูง   ดังที่สุด คือ แจกอมยิ้มให้เด็กเวลารถติดตอนปีใหม่ควบคู่กับหนังสือนิทานจนได้ฉายา “สารวัตรอมยิ้ม” จากสื่อมวลชน

อดีตนายพลมือปราบยอมรับว่า ทำโพลสำรวจความเห็นจากชาวบ้านพบว่า สารวัตรคนนี้มาจราจรไม่ติดขัด ทั้งที่ความจริงติดขัดเหมือนเดิม เราไม่เคยเป็นจราจรมาก่อน แต่เราทำเพื่อประชาชน ให้ประชาชนพึงพอใจ เมื่อประชาชนพึงพอใจแล้วมักชมเชย แต่ผู้บังคับบัญชาบางคนผ่านมาไขกระจกรถด่า ไอ้โง่ ไอ้บ้า เป็นเหตุผลที่อยู่จราจรแค่ 8 เดือนถูกย้ายเป็นสารวัตรประจำกองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลพระนครใต้

ทิ้งนกหวีดกลับมาจับปืนยุค พล.ต.ท.โสภณ วาราชนนนท์ คุมทัพนครบาล สร้างผลงานจับเป็นจับตายนับไม่ถ้วน แล้วขึ้นเป็นรองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลพระนครใต้ ปรับโครงสร้างเป็นรองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล 5 ทำงานลับให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมตตาเตรียมเสนอขึ้นผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม แต่ติดขัดยังไม่ผ่านหลักสูตรผู้กำกับ ต้องสลับเป็นนายเวร พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เทียบเท่าตำแหน่งผู้กำกับแทน

ติดสายขาวแค่ 10 เดือนลงเป็นผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล 8 โชว์บู๊สะบั้นหั่นแหลกสมฉายา “มือปราบหูดำ” ทำวิสามัญฆาตกรรมมือปืนรับจ้าง แก๊งโจรกรรมรถ นักค้ายาเสพติดในสมัยประกาศสงครามเพื่ออาชนะยาเสพติดระลอกแรก ตลอดจนโจรปล้นฆ่าตายเป็นเบือ กำลังได้ข้ามฝั่งเจ้าพระยาเป็นผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล 1 ดันมีเรื่องยิงกันบนทางด่วน แต่ยังดีผู้บังคับบัญชาเข้าใจให้โอกาสอยู่ที่เดิม

พล.ต.อ.สันต์ ศุรตานนท์ เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะตบรางวัลให้เป็นผู้กำกับที่ไหนก็ได้ในประเทศไทย ยกเว้นผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม เขาปฏิเสธอ้างอายุมากแล้ว เพราะเป็นตำรวจช้ากว่าคนอื่น ขอขึ้นรองผู้บังคับการดีกว่า ถึงได้เลื่อนเป็นรองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 ทำงานปราบปรามตามความถนัดได้ 4 ปี พายุมรสุมลูกใหม่เข้ามาอีก โดนกล่าวหาสนิทสนมนายบ่อนคนดังประตูน้ำ เป็นผลให้ถูกย้ายออกภูธรครั้งแรกในชีวิต ตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์

สวมบทตำรวจบ้านนอกอยู่อีสานใต้ปีเศษ ได้คืนความชอบธรรมกลับมาขึ้นผู้บังคับการตำรวจนครบาล 3 เพียงแค่ 3 เดือนขยับนั่งผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ที่กำลังมีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองแบ่งแยกต่างสี ต้องมาทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย เป็นหัวหน้านักเจรจา และทำโครงการอีกมากมาย เช่น ปะฉะดะ นำเอาความรู้จากการไปดูงานประเทศสหรัฐอเมริกาจัดสายตรวจเข้มในพื้นที่เปิดตัวโชว์ศักยภาพ ทำคนร้ายกลัวไม่กล้าก่อเหตุ ตามด้วยโครงการตำรวจนครบาล 1 พึ่งได้ โครงการสายตรวจสายสมร โครงการสายลับพันหน้า

“โครงการนครบาล 1 พึ่งได้  เป็นโครงการทางจิตวิทยา มองว่า ตำรวจต้องเป็นที่พึ่งได้ของประชาชน เป็นสัญญาประชาคมว่า ตำรวจจะเป็นที่พึ่งได้ เมื่อเราทำสัญญาไว้ ต้องมาดูองค์กรเรามีอะไรบ้าง สถานที่ต้องสะอาด การบริการต้องมีความรวดเร็ว จำเป็นต้องมาปรับปรุง ผมบอกลูกน้องว่า เราไปสัญญากับประชาชนแล้วนะว่าจะเป็นที่พึ่งได้ เราต้องปรับปรุงตัวนะ” อดีตผู้บังคับการตำรวจนครบาลยิ้มภูมิใจผลงานในอดีตที่ตัวเองวางไว้

ก้าวขึ้นตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เส้นทางรับราชการน่าจะราบรื่น กลับต้องเจอมรสุมอีกระลอก เที่ยวนี้หนักถึงขั้นเป็นคดีความตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ถูกตั้งกรรมการสอบสวนเลอะลอยมลทิน เด้งเป็นรองจเรตำรวจก่อนออกจากราชการ “ตอนนั้นยอมรับว่า รู้สึกท้อนะ  ผู้บังคับบัญชาบางคนไม่ปกป้อง อ้างหลักการ รอกระทืบซ้ำ ทั้งที่ผมทุ่มเททำงานให้กับราชการมากมายเกือบตลอดชีวิต แต่คิดว่า ผมมาจากพลตำรวจมาถึงได้ขนาดนี้ถือว่า สุดแล้วนะ แม้มันไม่ควรมีมลทิน ทำไงได้ มันแก้ไขไม่ได้ ต้องตัดความรู้สึก ไปในทางที่ดีว่า มาได้สูงสุดแค่นี้แล้ว” พล.ต.ต.วิชัยสะท้อนชีวิตจริงที่เผชิญกับตัวเอง

ประสบการณ์โชกโชนเจ้าตัวอยากจะฝากถึงตำรวจรุ่นใหม่ว่า อาจเก่งทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปไกล แต่เรามองว่า เด็กรุ่นใหม่บ่มแก๊สโตเร็วไป บางคนมาจากไหนก็ไม่รู้มาคุมงานสืบสวน ไม่เคยผ่านงานมาเลย ไม่เคยผ่านพื้นที่ ไม่เคยผ่านชีวิตตำรวจ พอมาคุมตำรวจไม่ได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ไว้ใจ เพราะไม่เคยแสดงความสามารถให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็น บางคนหาเงินอย่างเดียว ย้ายมาถึงถามยอด เท่าไร ดื่มแดกไวน์ทุกคน กินร้านดี กินแบบฝรั่ง ถ่ายรูปกัน

เขาเปรียบเทียบตำนานสมัยโบราณด้วยว่า เจอสารวัตรใหญ่แทบขี้เยี่ยวแตก ไม่กล้าเจอหน้า เป็นรองสารวัตรสอบสวนโดนเรียกดูสำนวนค้างก็หัวหดหมดแล้ว  การที่กลัวทำให้ต้องรีบทำสำนวน แต่ปัจจุบันไม่มี บางคนทำสำนวนยังไม่เป็นเลย เราจบ ร.ต.ต.ใหม่ ๆ เป็นพนักงานสอบสวน สารวัตรใหญ่จะเรียกไปเขียนประจำวันก่อน เรียนรู้จากเสมียนประจำวัน เหตุผลเพราะว่า ตำรวจจะรอดคุก คือ ประจำวัน  ให้ไปเรียนกับนายดาบ คือ ครู ปัจจุบันไม่มี มาถึงเก็บสำนวน วันสองวันชักเบื่อแล้วก็วิ่งเต้นหนีงานสอบสวน

  “เด็กสมัยนี้มันจึงผิดกับแต่ก่อน การทำงานบ่มเพาะความรู้เป็นเรื่องสำคัญ ผมอยู่กับท่านคงเดช ชูศรี สอนหมด เรียกผู้ต้องสงสัยมาสอบบอกผมให้ไปเอาน้ำมาแก้ว อย่าเอาน้ำเย็นนะ ไปให้มันกิน พอสอบปาก ๆ มันจะคอแห้งหยิบน้ำดื่ม  ให้สังเกตว่า จับมือไหน นิ้วไหน เสร็จแล้วเอาแก้วไปตรวจลายนิ้วมือเปรียบเทียบกับศพ หรืออาวุธที่เรายึดได้ นายสมัยนั้นสอนแบบนี้ มันมาจากประสบการณ์”

อดีตนายพลตำรวจหูดำเล่าอีกว่า บางคดีรู้ตัวคนร้าย เจอก้นบุหรี่ในที่เกิดเหตุมาสืบจับ คดีหนึ่งพบศพ คนร้ายดูบุหรี่สายฝนทิ้งไว้ เราไปหาผู้ต้องสงสัยที่สูบบุหรี่สายฝนเอาดีเอ็นเอมาตรวจตรงกัน สุดท้ายก็รับสารภาพ ถ้าเป็นสมัยนี้คงเหยียบก้นบุหรี่กันหมด ไม่เคยคิดจะเก็บบุหรี่นี้ไว้ “ท่านคงเดช สอนผมเลย มึงเป็นสายสืบ มึงอย่าไปยุ่งกับที่เกิดเหตุ ให้เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวน แล้วเดี๋ยวพนักงานสอบสวนจะเอาหลักฐานตรงนี้มาให้มึงสืบ มึงมีหน้าที่ต้องไปอยู่รอบนอก ไปดูคน ใครเป็นพยาน ใครเห็นเหตุการณ์ ไปคอยสังเกต ไปกระซิบมา ลากมาสอบสวน ท่านคงเดชสอนอย่างนี้ ตำรวจนักสืบรุ่นเก่ามีวิชาแบบนี้ นี่คือ นายสมัยก่อนนี้ ทำงานถึงสนุก”

เจ้าตัวยังบอกว่า โชคดีได้ทำงานกับนายตำรวจระดับปรมาจารย์ของนครบาล ตั้งแต่ สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ ประสงค์ วาสิกานนท์ โสภณ วาราชนนท์ คงเดช ชูศรี วรรณรัตน์ คชรักษ์ ประชา พรหมนอก ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา กฤษฎา พันธุ์คงชื่น โกสินทร์ หินเธาว์ แต่ละคนมีเทคนิค วิธีการแบบโหด หรือเบาต่างกัน ให้ได้เก็บเกี่ยวความรู้ของแต่ละคนมา เราถือว่าเป็นรุ่นหลังที่ได้เก็บเกี่ยวจากตรงนี้มามาก พอหมดจากรุ่นหลัง หมดจากเรา หมดจากปรีชา ธิมามนตรี สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ยังไม่มีใครอีกเลย ถือเป็นยุคสุดท้ายแล้วที่ทุ่มเททำงานกันด้วยหลักการเอาจริงเอาจัง

 

“ผมว่าไม่มีแล้ว ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว มันไม่มีบารมี ไม่มีเส้นสาย สมัยก่อน พอมีคดีสำคัญ พอแต่งตั้งชื่อนายตำรวจแต่ละคน โจรอยากจะมอบตัวแล้ว แบบกูโดนแน่ ไม่โดนจับก็โดนวิสามัญฆาตกรรมแน่ ทำไมปัจจุบันประกาศบิ๊กโน่น บิ๊กนี่ ทำไมโจรไม่มา เพราะไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความโหดให้คนร้ายมันกลัว”

ตำนานมือปราบชื่อดังฝากทิ้งท้ายว่า ตำรวจรุ่นใหม่บางครั้งไม่มีความอดทน ไม่ยึดหลักตามอุดมคติของตำรวจ ผู้นำต้องลงมาแก้ไข ให้กำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชา สนับสนุนคนทำงาน หากตำรวจหมดกำลังใจ  เพราะฉะนั้นการแต่งตั้งโยกย้ายคนไม่เก่ง ทำงานไม่ได้ก็ไม่อยากทำ ผลเสียหายย่อมกระทบแก่ประชาชน ถึงกระนั้นต้องไม่ลืมด้วยว่า บ้านเมืองไม่มีตำรวจไม่ได้ เป็นอาชีพที่ทำงานหนัก แต่เงินเดือนน้อยสุดเมื่อเทียบกับข้าราชการหน่วยอื่น อาชีพตำรวจถือเป็นองค์กรดี 1 ใน 4 ของโลก แต่ส่วนใหญ่เสียที่คน การจะปฏิรูปโครงการองค์กรตำรวจถือเป็นเรื่องผิด

 วิชัย สังข์ประไพ !!!

 

RELATED ARTICLES