วายร้ายไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์อุบัติใหม่กลืนชีวิตผู้คนไปทั่วโลกนานกว่า 3 ปีแล้ว
หลายครอบครัวเผชิญความสูญเสียแบบไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันได้เอ่ยคำลา ไม่ทันแม้กระทั่งไปเคารพศพ กลายเป็นความเศร้าโศกที่ยากจะทำใจ
ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร มีเงินมีทองมากมายแค่ไหน โอกาสที่มหันตภัยจาก “พิษโควิด” จะกระชากชีวิตไปจากครอบครัวอันเป็นที่รักย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
แล้วบุคลากรผู้เกี่ยวข้องรับมือมันดีพอหรือยัง
หญิงชราวัย 70 ปี มีโรคประจำตัว ความดัน เบาหวาน เมื่อปี 2564 เคยป่วยเป็นโควิดเข้าโรงพยาบาลรักษาไปรอบหนึ่งแล้วจนหายดี
มาปี 2565 เช้าตรู่ของวันอาทิตย์สงสัยอาการตัวเอง ตัดสินใจตรวจ ATK (Antigen Test Kit)ผลขึ้น 2 ขีด รีบบอกลูกสาวและลูกเขยที่เป็นนายตำรวจระดับรองผู้บังคับการ เพราะเกรงจะแพร่เชื้อกระจายไปถึงครอบครัว
ก่อนพากันไปโรงพยาบาลรัฐบาลประจำอำเภอชานกรุง
“วันนี้โรงพยาบาลปิด” เจ้าหน้าที่ปัดเยื่อใย “พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
ปฏิเสธการรับรักษา ไม่มีการจ่ายยา ไม่ทำอะไรให้
นายตำรวจหนุ่มผู้เป็นลูกเขยโทรศัพท์ไปปรึกษาแพทย์ประจำโรงพยาบาลตำรวจได้รับคำตอบให้พออุ่นใจได้บ้าง
“ไม่เป็นไร เป็นแค่กลุ่มสีเหลือง เหลืองอ่อน ๆด้วย ให้กลับบ้านไปหาที่ดูแลกันเองก่อน”
ทว่าตอนค่ำแม่ยายเริ่มอาการไม่สู้ดี มีไข้ขึ้นสูง
นาฬิกาบอกเวลาตีสาม หญิงชราช็อกเสียชีวิต
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนคนในครอบครัวไม่คาดคิด ไม่ทันได้ตั้งตัว
หลานชายเพิ่งผิดหวังจากการสอบเข้าโรงเรียนดังในกรุงเทพมหานครไม่ติด กลับต้องมาสูญเสียคุณยายที่รักกะทันหัน
ตอนเช้ามืดแพทย์มาชันสูตรศพแบบ new normal ให้ญาติถ่ายภาพผู้เสียชีวิต ส่งให้ตามที่ต้องการ ไม่ลงจากรถแม้แต่คนเดียว ออกใบในรถยื่นให้
เรียกเก็บเงินค่าชันสูตรพลิกศพ
“ชีวิตคนมีค่ามีราคาแค่นี้เองหรือ” รองผู้บังคับการหนุ่มคิด
อีก 30 นาทีต่อมา เจ้าหน้าที่มูลนิธินำอุปกรณ์ป้องกันเชื้อมิดชิดบรรจุร่างแม่ยายเขาลงโลงศพซีนอย่างแน่นหนาเดินทางไปที่วัด
เวลา 08.00 น. ทำพิธีฌาปนกิจศพ
ราว 24 ชั่วโมงพอดีกับชีวิตหญิงชราในวาระสุดท้ายที่ไม่ได้ทันร่ำลาสั่งเสียอะไรให้ลูกหลาน
“ตายแล้วนะครับหมอ กลุ่มสีเหลืองอ่อน ๆ ของหมอ” นายพันตำรวจเอกอยากโทรศัพท์ไปขอบคุณแพทย์ผู้ให้คำปรึกษา
บัดซบแท้