ในแวดวงตำนานนักสืบที่ยังมีลมหายใจ พล.ต.ต.เจริญ โชติดำรงค์ ถือเป็นนายตำรวจมือสืบสวนปราบปรามมากประสบการณ์อีกคนหนึ่งของกรมตำรวจ เป็นปูชนียบุคคลระดับปรมจารย์นักสืบ เฉกเช่นเดียวกับ พล.ต.ต.อมร ยุกตะนันทน์
เขาเกิดที่กรุงเทพฯ จบมัธยม 6 (ม.ศ.3) โรงเรียนวัดไตรมิตร หลังจากนั้นไปเรียนต่อเตรียมธรรมศาสตร์และการเมืองจนจบมัธยม 8 ก้าวเข้าโรงเรียนพลตำรวจที่กองบัญชาการสอบสวนกลาง เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจปทุมวัน รุ่น 7 ติดยศ ร.ต.ต.ประจำอยู่ตำรวจตระเวนชายแดน จังหวัดเชียงราย นาน5 ปีถึงย้ายเป็นสารวัตรตำรวจรถไฟ ขึ้นรองผู้กำกับการตำรวจสันติบาลอยู่อีก 5 ปี กระทั่งเข้านครบาลเป็นรองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลพระนครเหนือ ใช้ชีวิตนักสืบเต็มตัวจนก้าวนั่ง “ผู้กำกับสืบสวนเหนือ”
คลี่คลายคดีสำคัญมากมายก่อนขยับเป็นรองผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ ดูแลรับผิดชอบงานสืบสวนปราบปรามตามถนัดอยู่ 9 ปีกว่าจะได้เลื่อนเป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาลธนบุรี เมื่อปี 2526 อีก 2 ปีถัดมาขึ้นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลจนเกษียณอายุราชการเมื่อปี 2532
ปั้นลูกศิษย์ลูกหาเป็นนักสืบคนดังในวงการสีกากีจำนวนไม่น้อย อาทิ พล.ต.อ.เขตต์ นิ่มสมบุญ พล.ต.อ.อัยยรัช เวสสะโกศล พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ พล.ต.ท.ทวี ทิพย์รัตน์ พล.ต.ต.คำนึง ธรรมเกษม พล.ต.ต.วินัย เปาอินทร์ พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา พล.ต.ต.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น พล.ต.ต.ไพจิตร อ่องศรี พล.ต.ต.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง และพ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี เป็นต้น
“ผมเลือกเป็นตำรวจเพราะมีใจรักมาตั้งแต่เด็ก” พล.ต.ต.เจริญเริ่มลำดับเรื่องราวความหลังเมื่อกว่า 50 ปีก่อน เขาบอกว่า พล.ต.อ.หลวงชาติตระการโกศล อธิบดีกรมตำรวจเปิดรับสมัตรพลตำรวจที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเป็นรุ่นแรกและรุ่นเดียว กำหนดพื้นฐานความรู้อย่างต่ำควรจบมัธยม 6 เข้าอบรมหลักสูตรพิเศษคล้ายสกอตแลนด์ยาร์ดของอังกฤษให้ทุกคนที่ผ่านการอบรมติดยศ ส.ต.อ.ทันที
ปรากฏว่า พล.ต.อ.หลวงชาติตระการโกศลถูกย้ายเป็นอธิบดีกรมศุลกากรพอดี โครงการดังกล่าวจึงยกเลิกเมื่อ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ขึ้นนั่งอธิบดีกรมตำรวจแทน ตัวเขาเลยฝันค้างเป็นได้แค่พลตำรวจ แต่ดีที่ยังมีอีกโครงการกำหนดไว้ว่าถ้าใครมีความประพฤติดี ถ้ามีวุฒิมัธยม 8 รับราชการปีเดียวได้สิทธิสอบนายร้อยตำรวจปทุมวันเป็นเหตุให้เขาเลือกที่จะเป็นนายร้อยตำรวจปทุมวันรุ่นที่ 7
จังหวะนั้นมีกรณีพิพาทฝรั่งเศสกับประเทศเพื่อนบ้าน นักเรียนนายร้อยที่จบรุ่นนั้นทั้งหมดจึงถูกส่งเข้าป่าไปอยู่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน “ ท่านอธิบดีเผ่ามายืนสัญญาหน้าแถวบอกว่า ภายใน 2 ปี ให้เสียสละเพื่อชาติเสร็จแล้วจะให้กลับมาอยู่นครบาลทุกคน แต่ท่านอยู่ได้ปีเดียวก็ถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหาร ต้องลี้ภัยไปสวิตเซอร์แลนด์ พวกผมก็แพแตก” พล.ต.ต.เจริญบอก
ใช้ชีวิตโยกไปโยกมาหลายหน่วยนาน 15 ปีถึงสมัครใจเข้ามาเป็นรองผู้กำกับสืบสวนเหนือ เพราะรักในงานสืบสวนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแถมมีดีกรีจบหลักสูตรการสืบสวนจากวิทยาลัยการตำรวจนานาชาติ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกาพ่วงท้าย
อดีตนายตำรวจคนดังบอกว่า การเป็นนักสืบก่อนอื่นต้องมีใจรัก ประสบการณ์อย่างอื่นจะตามมาทีหลัง พอมาอยู่สืบสวนเหนือทำคดีสำคัญมากมาย กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ประสบความสำเร็จ ทำงานกันเป็นทีม แต่ไม่ได้เก็บสะสมหนังสือพิมพ์ไว้ ถ้าไม่อย่างนั้นคงสูงเป็นกองพะเนิน
แต่ที่ประทับใจมากที่สุดเห็นจะเป็นการติดตามไล่ล่าโจรชื่อดัง “ตี๋ใหญ่” ที่ตัวเองและทีมงานในส่วนของนครบาลเผชิญสถานการณ์ตามล้างตามเช็ดดวลปืนกันถึง 3 ยกกว่าจะสยบดาวร้ายชื่อก้อง “ครั้งแรกสายมารายงานว่ามันจะมาที่เขตโรงพักดุสิต ผมเอาตำรวจกองสืบสวนประกอบกำลังกันกับตำรวจสำราญราษฎร์ที่สมเกียรติ พ่วงทรัพย์เป็นสารวัตรใหญ่อยู่ เข้าไปตอนบ่ายโมง ถีบประตูบ้านเข้าไป มันจะอยู่หรือไม่อยู่ ผมไม่ยืนยัน แต่ซอยเข้าไปมันซอยตัน มีรั้วสังกะสี สุดซอยมีบ้านอยู่หลังหนึ่ง ผมยืนอยู่กับทิพย์ อัศวรักษ์ ผมบอกตำรวจบุกเข้าไปเกิดยิงกันตูมตาม มีผู้ชายคนหนึ่งโผล่หน้าต่างกระโดดมากลางซอย หันซ้ายหันขวา หันซ้ายมาเจอผม หันขวาเป็นทางตัน มันไม่หันมาทางผม ถ้าวันนั้นมันหันมาคงต้องไปวัดกัน ไม่ว่าจะเป็นผม หรือทิพย์ มันถีบประตูรั้วซึ่งเป็นโรงเก็บไม้หนี ยิง พ.ต.ท.ฉลอง เจียมสุธน ที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ท้องทะลุ”
นั่นคือครั้งแรกที่ พล.ต.ต.เจริญ ประลองฝีมือกับดาวร้ายภูธร ผลปรากฏว่าลูกน้องมันตาย 2 คน ขณะที่ตำรวจบาดเจ็บ 1 คน
หลายเดือนผ่านไปยกที่สองก็เกิดขึ้น เมื่อ พล.ต.ต.เจริญได้ข่าวว่า ตี๋ใหญ่หลบมาอยู่บ้านภารโรงหลังโรงเรียนประชาบาล วัดเขมาภิรตาราม เขตติดต่อระหว่างเตาปูนกับเมืองนนทบุรี “ผมดูแล้วไม่ใช่เขตเรา ไม่งั้นผมฟาดตั้งแต่สองยามแล้วเลยจำเป็นต้องรอตอนเช้า ตำรวจ 191 ตายไปคน จะว่าไปแล้วตำรวจเราขี้ขลาดเอง ผมกับทิพย์ ยืนปากซอย สมเกียรติอยู่ข้างใน ผมสั่งให้ตำรวจ 191 คนที่ตายยืนอยู่อีกจุดที่เป็นจุดสำคัญ บอกนายต้องเอารถสายตรวจเปิดประตูไว้แล้วไปยืนอยู่หลังประตูเอาปืนลูกซองสไลด์ขึ้นลำไว้ เดี๋ยวไอ้ตี๋ใหญ่มันต้องวิ่งแหกมา เรารู้นิสัยมัน ทางด้านนี้ 90 เปอร์เซ็นต์ เอ็งคอยดักยิงมัน แต่อย่าประมาท ไม่ถึง 5 นาที ผมกับไอ้ทิพย์ช่วยกันหิ้วลังปลอมตัวเข้าไปข้างใน ได้ข่าวว่าตำรวจถูกยิงแล้ว เพราะอะไร ผมเดินไปดูที่ศพมัน ขอโทษนะ ผมถุยน้ำลายรดศพเลย ที่ผมสั่งแม่งไม่ทำสักอย่าง บอกให้เอาลูกสไลด์เข้ารังเพลิงก็ไม่ทำ ประตูเปิดก็ไม่เปิด ไปยืนอยู่หน้ารถ สมควรตายมั้ย ตำรวจแบบนี้ มันคงนึกว่าผมตำรวจแก่ขี้กลัว มันผ่านชีวิตมาน้อยเหลือเกิน” หัวหน้าทีมล่าดาวโจรชื่อดังระบายความในใจเมื่อหลายสิบปีก่อน
“ตี๋ใหญ่หนีได้อีก ตอนนี้ยิ่งดังใหญ่ สร้างข่าวว่า มันเหาะเหินเดินอากาศได้ หายตัวได้ แถมยิงตำรวจตาย ทั้งที่จริง ๆ ไม่มีอะไรเลย ตี๋ใหญ่ดีอยู่อย่างเดียว คือยิงเบิกทาง วิ่งไปยิงไป เหมือนทหารจะเข้าตี ยิงข่มไว้ก่อน ให้ข้าศึกหมอบ ตัวจะได้ไปยึดแนว ใครไม่รู้สอนแท็กติกให้มัน ผมจับมันได้ คืออย่าไปกลัวมัน กูถึงยืนอยู่ตรงนี้ กูจะยิงมัน แต่มันไม่มาทางเรา ตำรวจมันขี้ขลาด”
กระทั่งถึงวันที่มันพบจุดจบ ยุคนั้น พล.ต.ต.เจริญ เลื่อนเป็นรองผู้การเหนือ นำทีมสืบสวนเหนือไปถึงวัดธรรมโชติ สมุทรสาคร ถิ่นของตี๋ใหญ่ตามเบาะแสของสายลับคนสำคัญคือ “เสือทวีป” เพื่อนสนิทของมันเอง ตำรวจพบตี๋ใหญ่ขับรถปิกอัพ สีขาว ทะเบียน ม-0063 สมุทรสาคร วนเวียนอยู่ในวัด พ.ต.ท.กิตติโชค แสงนิล และร.ต.อ.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ตัดสินใจแสดงตัว แต่มันกลับชักปืนยิงใส่ นายตำรวจหนุ่มแห่งสืบสวนเหนือทั้งคู่เลยลั่นกระสุนเด็ดชีพตี๋ใหญ่ตายคารถ มีเสือทวีปคอยให้ความร่วมมือในการจับตายเพื่อนร่วมอุดมการณ์โจรอย่างดี
“ยกหนึ่งคือยิงกันหนหนึ่ง ยิงกันจริง ๆ ผมอยู่ในที่เกิดเหตุทั้ง 3 หน”
อีกคดีที่ยังอยู่ในความทรงจำไม่แพ้กันเป็นคดีสืบสวนติดตามโจรชาวฮ่องกงบุกชิงตัวเพื่อนร่วมแก๊ง 3 คนถึงใต้ถุนศาลอาญา ท้องที่สถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม เมื่อบ่ายวันที่ 29 สิงหาคม 2530 ก่อนถูกทีมงาน “สืบเหนือ” ของ พล.ต.ต.เจริญ จับตายรวดเดียวหมดแก๊ง 3 ศพที่หมู่บ้านการบินไทย เขตนนทบุรี มีทีมสืบสวนประกอบด้วย พ.ต.อ.ทวี ทิพย์รัตน์ พ.ต.อ.ประมวล นีละคุปต์ พ.ต.ท.วินัย เปาอินทร์ พ.ต.ท.เผด็จ ทะละวงศ์ พ.ต.ท.สิทธิพร โนนจุ้ย ร.ต.อ.โชติ กุลดิลก ร.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี ร.ต.ท.ประเวศ มูลประมุข
“คดีนี้ผมภูมิใจเพราะได้ตั้งกองบัญชาการสืบสวนที่แปลกที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในคุกใหญ่ เนื่องจากหลังเกิดเหตุ ผมสืบเกือบ 2 ชั่วโมงชักเข้าตาจนเลยถามผู้คุมที่เป็นผู้ใหญ่อยู่ในศาล ช่วยพูดกับอธิบดีและผู้บัญชาการเรือนจำหน่อยได้มั้ยว่า ผมตำรวจนครบาล เป็นทีมสืบสวนติดตามคนร้าย เรื่องที่เกิดขึ้นเรือนจำเสียหายมากจึงขอเปิดกองบัญชาการในเรือนจำลหุโทษ ท่านอนุญาต ผมเอาตำรวจ 20-30 คนไปเดินอยู่ในคุก เอาสมุดเยี่ยมมาดู เอาคนห้องข้างเคียงนักโทษมาซักถาม สอบสวน ตั้งกองบัญชาการอยู่ในนั้นก่อนแบ่งทีมออกไปหาข่าวนาน 48 ชั่วโมง พวกผมยิงแม่งตายหมด หนังสือพิมพ์ในฮ่องกงลงข่าวดังครึกโครมหาว่า ผมทารุณ ทำเอาผมไม่กล้าไปฮ่องกงนานหลายเดือน” อดีตมือปราบนครบาลเหนือย้อนความหลัง
ตลอดชีวิตราชการตำรวจ พล.ต.ต.เจริญ มีโอกาสร่วมสืบสวนปราบปรามจับกุมคนร้ายถึงขั้นยิงต่อสู้กันรวม 9 ครั้ง พาลูกน้องตำรวจตายไป 2 นาย ถูกยิงขาหัก แขนหัก ท้องทะลุ 5 นาย ส่วนคนร้ายตาย 14 คน บาดเจ็บ 1 คน เหตุที่ประสบความสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
“ไม่ใช่เพราะผมมีความเกร่งกล้าสามารถเป็นพิเศษกว่าคนอื่น แต่ผมเป็นคนโชคดีที่มีเพื่อนร่วมงานดี มีความสามารถ มีความตั้งใจในการปฏิบัติงาน ผมยิงกับผู้ร้ายทุกปี สมัยก่อนสนุกมาก รักใคร่ปรองดองกันไม่เหมือนตำรวจสมัยนี้ อยากเด่นอยากดัง ไปยิงผู้ร้ายทุกทีผมวิ่งนำหน้าทุกราย มีอยู่รายน่าขำ วันสงกรานต์พอดี เหตุเกิดถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ยิงมันนอนตายอยู่กลางถนน นักข่าวเต็มไปหมด เกือบ 10 นาที อยู่ ๆ แม่งลุกขึ้นมานั่ง ลูกน้องผมซัดโป้งแถมให้อีกนัดตายคาที่ เป็นหนังสือพิมพ์สมัยนี้คงเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว แต่นี่ไม่ออกข่าวเลยเพราะเขารู้ว่าผมเป็นคนเป็นอย่างไร ไม่ใช่คนอยากดัง ไม่ใช่คนขี้คุย ไม่ได้ไปขอร้อง เขาไม่ลงทุกฉบับเลย ช่วยปิดข่าวให้ด้วย ไม่นั้นคงขึ้นศาลกันหมด”
อดีตรองผู้บัญชาการมือปราบย้ำว่า “ผมชอบงานนักสืบ เหมือนมันอยู่ในสายเลือด รู้สึกว่าทำประโยชน์ให้คน แต่ต้องไม่เก่งคนเดียว ต้องเก่งทั้งกอง อยู่สืบเหนือต้องเหนือจริง ๆ กูแพ้ใครไม่ได้ แพ้โจรไม่ได้ สมัยก่อนทำงานแบบนี้ เคยมีคดีโจรกรรมของเก่าบ้าน พล.ต.ท.ประจวบ กีรติบุตร อดีต ผบช.น. ตอนนั้น พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์ ซีเรียสมากเรียกผมเข้าไปคุยบอกเจริญรู้นะว่า เรื่องนี้สำคัญ เอาให้ได้นะ ผมบอกครับรับปากก่อนเรียกลูกน้องคนหนึ่งที่ปัจจุบันเป็นนักสืบใหญ่แต่เกษียณอายุไปแล้วมาคุย บอกนี่เรื่องของนายนะ ต้องเอาให้ได้ วันรุ่งขึ้นผมถามว่าเป็นยังไง ได้รับคำตอบว่า ยังไม่คืบครับ วันที่สองถามเป็นไง ไม่คืบครับ พอวันที่สาม ผมจับข้อมือเลยบอกกูไม่ใช่นายนั่งสั่งงานอยู่ที่โต๊ะนะ กูจะทำให้มึงดู จูงมือไปเลย บ่ายสองโมงผมจับเปิดคดีได้ข้อหารับของโจร นี่คือการทำงานของผม ได้จากสายลับ คดีส่วนใหญ่สมัยนั้นก็ออกจากสาย”
การที่จะเลือกเป็นตำรวจนักสืบ พล.ต.ต.เจริญฝากไว้ว่า ต้องเสียสละ เรื่องอื่นอย่าไปคิดถึง ทั้งลาภยศ ทรัพย์สมบัติ คิดอย่างเดียวทำอย่างไรให้งานสำเร็จ แล้วจะภาคภูมิใจที่ทำให้คนเขานอนตาหลับ ก็เป็นสุขแล้ว ไม่ใช่ทำสำเร็จแล้วกูจะดัง ไปไหนคนต้องรู้จัก
“ทำด้วยน้ำใจเถอะ คิดถึงชาวบ้าน เขาไม่มีที่พึ่ง เขาหวังพึ่งเรา ถ้าเผื่อเราทำตัวไม่ให้เป็นที่พึ่ง พวกเขาจะไปพึ่งใคร เขาก็ต้องไปพึ่งโจร เมื่อไปพึ่งโจรเมื่อไหร่บ้านเมืองก็ชิบหาย มีเจ้าพ่อ เจ้าแม่กันเต็มไปหมด ตำรวจกลับไม่ทำตัวให้เป็นที่พึ่ง เขาเดือดร้อนมาเพื่อปรึกษาก็ยาก ไม่เดือดร้อนเขาคงไม่เดินมาหาใครก็ไม่รู้ เจ้าพระเดช นายพระคุณที่ไหน มาแบบตัวสั่นงก ๆ มาทั้งกลัว ช่วยพวกเขาด้วยเถอะ ช่วยด้วยน้ำจิตน้ำใจอย่าไปหวังมรรค หวังผล” เสียงของนักสืบชั้นครูสั่นเครือแต่แววตาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณความเป็นตำรวจ
แม้ห้วงเวลามันจะล่วงเลยมานานหลายสิบปีแล้วก็ตาม
เจริญ โชติดำรงค์ !!!