สตม.ทลายแก๊งพนันออนไลน์เวียดนามตั้งฐานเช่าบ้านหรูกลางกรุงเทพฯ

วันที่ 7 มี.ค.67 พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสําคัญ 3คดี

พล.ต.ท.อิทธิพล กล่าวว่า คดีแรก เป็นของกองกำกับการ1กองบังคับการสืบสวนตรวจคนเข้าเมือง1นําหมายค้นเข้าตรวจค้นบ้านหรูแห่งย่านพระราม 9 เน่ืองจากต้องสงสัยว่ามีแก๊งชาวต่างชาติใช้เป็นฐานเว็ปพนันออนไลน์ สามารถจับกุม น.ส.คิม (นามสมมติ) อายุ 21 ปี สัญชาติเวียดนาม พร้อมกับพวกรวม 18 คน (ชาย 10 คน หญิง 8 คน) ข้อหา ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทําอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นทางสื่อ อิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน พร้อมตรวจยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของกลาง จํานวน 39 รายการ

ทั้งนี้มีกลุ่มชาวต่างชาติมีพฤติกรรมน่าสงสัยรวมกลุ่มจํานวนหลายคนอยู่ภายในบ้านพักแห่งหน่ึงย่านพระราม 9 แขวงสวนหลวง จึงเฝ้าสังเกตุจนทราบว่าเป็น กลุ่มชาวเวียดนามจํานวนไม่ต่ํากว่า 10 คน และพบพยานหลักฐานว่ามีการลักลอบจัดให้มีการเล่นการพนันออนไลน์จริง จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอาญาพระโขนงออกหมายค้นบ้านหลังดังกล่าว จากการตรวจค้นพบว่าบ้านหลัง ดังกล่าวเป็นบ้านสองชั้น ชั้นที่ 1 จัดเป็นที่พักผ่อนและรับประทานอาหาร ชั้นที่ 2 เป็นห้องพัก ส่วนห้องโถง เป็นสถานท่ี ทํางานมีเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ตั้งอยู่ จํานวน 10 ชุด มีพนักงานนั่งอยู่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ซึ้งมีการเข้าระบบเว็บพนันออนไลน์ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบพนักงานทั้ง 18 คน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาทํางานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์

และจากการสอบสวนคนต่างด้าวทั้ง 18 คนให้การ ยอมรับว่าพวกตนทํางานเป็นแอดมินเติมเครดิตให้กับลูกค้าและชักชวนลูกค้าให้มาเล่นการพนันออนไลน์ โดยมีการแบ่ง หน้าที่และช่วงเวลากันทํางานตลอด 24 ชั่วโมง มีนายทุนใหญ่เป็นชาวเวียดนาม ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนๆ ละ 20,000 บาท และเงินส่วนแบ่งที่ได้จากการชักชวนลูกค้าที่มาเล่นการพนัน โดยเช่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นฐานกระทําผิดมาตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2566 จึงนําส่ง พนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก ดําเนินคดีต่อไป พล.ต.ท.อิทธิพล กล่าว

พล.ต.ท.อิทธิพล กล่าต่อว่า อีกคดีจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ “ฟอกเงิน” พบมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 70 ล้านบาท เป็นของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสมุทรสาคร ร่วมกับ สถานีตำรวจภูธรม่วงสามสิบ จับกุม นางสุด (นามสมมุติ) อายุ 30 ปี สัญชาติลาว ตามหมายจับ ศาลจังหวัดอุบลราชธานี ที่ 281/2566 ลงวันท่ี 28 กันยายน 2566 ข้อหา ร่วมกันจําหน่าย ยาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) , สนับสนุนจําหน่ายยาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 เพ่ือการค้า และการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน โดยไม่ได้รับ อนุญาต, รับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากผู้กระทําความผิดเพื่อประโยชน์ หรือให้ความสะดวกแก่การกระทํา ความผิด หรือเพ่ือมิให้ผู้กระทําความผิดถูกลงโทษ

พล.ต.ท.อิทธิพล กล่าต่ออีกว่า  นางสุด (นามสมมุติ)ผู้ต้องหารายนี้ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดอุบลราชธานีความผิดเก่ียวกับจําหน่ายยาเสพติด และฟอกเงิน ได้หลบหนีหมายจับมาซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร จนกระทั่งสืบทราบว่านางสุด จะมาติดต่อธุระส่วนตัวบริเวณใกล้กับที่ทําการ ตม.จว.สมุทรสาคร จึงได้ไปตรวจสอบและจับกุมได้ดังกล่าว นอกจากการสืบสวนทราบว่านางสุด ไดเ้ ปิดบัญชีธนาคารสําหรับรับโอนเงินกลับประเทศลาว โดยมีเงินหมุนเวียนใน บัญชีกว่า 70 ล้านบาท ซึ่งจะได้ทําการสืบสวนขยายผลต่อไป

ด้าน พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวว่า คดีสุดท้าย ตัวการใหญ่ขนคนต่างด้าว โร่มอบ หลังถูกกดดันหนักจนหนีไปนอนป่า เป็นของกองกำกับการสืบสวนกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง3 จับกุมนายเจด (นามสมมติ) อายุ 44 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 115-116/2567 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ต้องหาว่ากระทําความผิดฐาน ร่วมกันช่วยเหลือ ช่วยซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ซึ่งบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตให้รอด พ้นจากการจับกุม

“เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสมุทรปราการ และ กองกำกับการสืบสวนกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง3 สืบสวนขยายผล จนพบความเชื่อมโยงว่า นายเจด ผู้ต้องหารายนี้ เป็นผู้สั่งการในการลักลอบพาต่างด้าวหลบหนีเข้าประเทศและช่วงต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน บัญชีธนาคารของนายเจดมีเงินหมุนเวียนกว่า 150 ล้านบาท จึงระดมกําลังติดตามจับกุมตัว นายเจด มาดําเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่อง กระทั่งนายเจดทนความกดดันไม่ไหวได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวดังกล่าว สอบสวน นายเจดรับสารภาพว่ามีส่วนร่วมในการลักลอบขนคนต่างด้าวผิดกฎหมายจริง และที่มามอบตัว ก็เพราะรู้สึกกดดันที่ถูกเจ้าหน้าที่ติดตามตัวอย่างหนัก จนตัวเองต้องหนีไปนอนในป่าหลายวัน” พล.ต.ต.พันธนะ กล่าว

 

RELATED ARTICLES