“ผมทำงานแบบไม่ได้ถอนคันเร่ง ไม่มีเกียร์ว่าง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะตำแหน่งไหน ไม่เคยหยุด”

 

ระสบการณ์ช่ำชองแถมได้มุมมองจะผู้เป็นนายมาช่วยปรับทัศนคติในการทำงานสืบสวน

พล.ต.ต.ทนัย อภิชาติเสนีย์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด พื้นเพเดิมเป็นชาวอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ลูกเกษตรกรเต็มขั้น หลังจบมัธยมโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย เอ็นทรานซ์เข้าคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร  เพียงแค่คิดอยากเป็นครู

เรียนจบออกมาโรงพยาบาลตำรวจเปิดรับอาจารย์ดูแลห้องโสตทัศนูปกรณ์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สอบติดเข้าไปเป็น ร.ต.ต.จากบุคคลภายนอกตำแหน่งรองสารวัตรในโรงพยาบาลตำรวจแบบไม่ได้ตั้งใจ ก่อนไปเรียนเสริมคณะนิติศาสตร์ และปริญญาโทสาขาเดิมที่ประสานมิตรเพิ่มเติมด้านเทคโนโลยี การถ่ายรูป ถ่ายหนัง คอมพิวเตอร์

อยู่โรงพยาบาลตำรวจได้ประมาณสัก 2-3 ปี ไปช่วยราชการสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ แล้วกลับมาเป็นรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลพญาไท ตำแหน่งที่น่าภาคภูมิใจที่ต้องทำงานหนักให้ผู้ใหญ่ได้จดจำ แม้ยังไม่รู้ว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร เมื่อได้ร่วมงานกับ พ.ต.ท.มณเฑียร ประทีปะวนิช สารวัตรใหญ่ขณะนั้น เข้าเวรอยู่กับ สุทิน ทรัพย์พ่วง สุชาติ วงศ์อนันตชัย

“ช่วงนั้นถือว่างานหนักมาก โรงพักพญาไท ถือว่าเป็นอันดับ 1 ของนครบาล ด้วยความเป็นคนที่ชอบคอมพิวเตอร์ มีทักษะด้านคอมพิวเตอร์ ผมเอาคอมพิวเตอร์ไปใช้พิมพ์สำนวนการสอบสวนคนแรก ทำแบบฟอร์มสอบปากคำผู้ต้องหาในคอมพิวเตอร์ที่ยังไม่มีการยอมรับเท่าไหร่ทำมาเรื่อยจนเป็นที่ยอมรับ พอส่งไปอัยการ และศาลก็ไม่ได้ว่าอะไร สำนวนมันจะออกมาสวยในกระดาษเอ 4 อ่านง่าย” พล.ต.ต.ทนัยย้อนวันเก่า

บุกเบิกการนำคอมพิวเตอร์มาใช้พิมพ์สำนวนการสอบสวนทำให้งานรวดเร็ว อดีตรองสารวัตรมือสอบสวนโรงพักพญาไทเล่าว่า เป็นช่วงจังหวะเกิดเหตุการณ์รถบรรทุกแก๊สคว่ำถนนเพชรบุรีมีผู้เสียชีวิตและยบาดเจ็บจำนวนมาก คืนนั้นไม่ได้เข้าเวรตอนเกิดเหตุ แต่ถูก พ.ต.อ.คงเดช ชูศรี ขณะนั้นเป็นผู้กำกับการนครบาล 3 ตามตัวด่วน ระดมพนักงานสอบสวนไปตามโรงพยาบาลเก็บรายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต  เราอยู่โรงพักเอารายชื่อใส่คอมพิวเตอร์เข้าระบบฐานข้อมูลทำจนถึง 6 โมงเช้าพิมพ์ออกมาติดบอร์ดหน้าโรงพัก มีญาติมามุงดูกันเต็มไปหมด เป็นตัวการได้ใช้งานคอมพิวเตอร์

ได้รับการคัดเลือกเป็นพนักงานสอบสวนดีเด่นของกองบัญชาการตำรวจนครบาล กระทั่งได้รับการทาบทามจาก พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค สมัยเป็นผู้บัญชาการศึกษาให้ไปช่วยสำนักงานแลกกับตำแหน่งสารวัตร เจ้าตัวไม่ลังเล ทั้งที่กำลังเจอแยกสำคัญเมื่อ พ.ต.ท.มณเฑียร  ประทีปะวนิช โยกขึ้นรองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลพระนครเหนือชวนไปอยู่ด้วยเหมือนกัน

“ผมอยากจะไปเป็นนักสืบบ้าง แต่ต้องมาชั่งใจ ไปสืบสวนเหนือยังเป็นรองสารวัตร แต่ไปกองบัญชาการศึกษาได้ขึ้นสารวัตรเลยขอไปที่นั่นแทน” พล.ต.ต.ทนัยให้เหตุผลพร้อมเล่าประสบการณ์ที่ได้มีโอกาสเรียนรู้สไตล์การทำงานของนายพลมือปราบอย่างสล้าง บุนนาคว่า สิ่งที่ท่านเน้นคือ การศึกษาต้องเป็นกบนอกกะลา ตอนแรกไม่เข้าใจว่า อะไร แท้คือ วิชาการต่าง ๆ ที่มีหลักสูตรสารวัตร หลักสูตรผู้กำกับการ หลักสูตรสืบสวน หลักสูตรผู้บังคับการ อย่าเชิญอาจารย์เป็นตำรวจด้วยกันมา เพราะจะวนอยู่ในกะลา ต้องเชิญบุคคลภายนอก หรือภาคเอกชน หรือที่ไม่ใช่ส่วนราชการ ดีกว่าพายเรือในอ่าง อยู่ในกะลา มันแคบ มันมีแค่วิชั่นของระบบราชการ ต้องเชิญนักธุรกิจว่าบริหารงานอย่างไรถึงประสบความสำเร็จ ยกเว้นวิชาตำรวจที่เฉพาะด้านจริงๆ ควรจะเชิญคนที่มีประสบการณ์ในส่วนนั้น ๆ จริงๆ มาสอน

พล.ต.ต.ทนัยอธิบายเพิ่มเติมว่า ต้องไปดูงานธนาคาร ดูงานบริษัท ดูงานสื่อว่าบริหารกันอย่างไรจะได้เปิดโลก ไม่เป็นกบในกะลา เพราะฉะนั้นท่านจะเน้นสิ่งที่กว้างออกไปจากตำรวจ ถ้าให้ตำรวจสอนกันเองจะไม่ปิ๊งสิ่งใหม่  เป็นสิ่งที่ท่านยืนหยัดโดยตรง ในเรื่องของการสอนของกองบัญชาการศึกษาจะเป็นกบในกะลาไม่ได้ วิทยากรต้องเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ อาจารย์ก็เป็นอาจารย์ประจำ

อยู่กองบัญชาการศึกษาประมาณ 2 ปี โยกไปอยู่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เรียนรู้การปราบปราม แต่ตัวเขาโดนมอบให้เป็นฝ่ายสนับสนุน ถ่ายภาพที่เกิดเหตุ เก็บภาพระยะไกล ถ่ายวิดีโอเป้าหมาย  “ผมไม่ใช่ตัวเอก เป็นท่านรองคอยสนับสนุนในการทำงาน แต่ที่เราทำงานไปเรื่อย ๆ จะเกิดการเรียนรู้ เหมือนถ่ายละคร ถ่ายหนัง ต่อไปเราก็รู้แล้วว่าเป็นแบบไหน ทำบ่อยกลายเป็นว่า เรารู้บทของคนร้าย รู้บทของตำรวจจนเป็นที่มาของความชำนาญในภายหลัง”

“ ด้วยความที่ผมถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอในการทำงานมาตลอด ทำให้ชำนาญ รู้บท รู้ทุกอย่าง ดังนั้นเวลาผมแสดงเอง ทำให้รู้ว่าจะแสดงอย่างไร เมื่อเรียนรู้จากของจริง เริ่มจากคนดูบทไปก่อนจน 20-40 คดี หรือ 100 คดีขึ้นไปเราก็ชำนาญแล้ว” พล.ต.ต.ทนัยเล่าก่อนขยับไปเป็นนายเวร พล.ต.อ.ณรงวิช ไทยทอง สมัยเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ติดสอยห้อยตามไปกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 นานถึง 5 ปี ได้มุมมองแบบท็อปดาวน์จากบนลงไปล่าง

 “ ผมโชคดีได้อยู่กับผู้บังคับบัญชาที่นับถือได้ ไหว้ได้ เป็นตำรวจที่สะอาด มีคุณธรรม มีเกียรติยศ ท่านณรงวิชเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 18 ท่านสล้างรุ่น 14 ทำให้ผมมีแบบอย่าง อยู่กับท่านณรงค์วิชเน้นมากเรื่องความปลอดภัย เป็นผู้บัญชาการก็ต้องที่มีหน้าที่ปราบปรามต้องเข้าสนามเหมือนกัน ช่วงที่เกิดเหตุปะทะหรือช่วงที่เกิดเหตุภัยพิบัติ ท่านจะสอนความรอบคอบในการทำงาน ไม่ใช่ว่า คุณจะไปจับเขา หรือจะไปทำอะไร คุณคิดแต่ชนะอย่างเดียว คุณไม่รู้ว่า ถ้าคุณแพ้ จะแก้ปัญหาอย่างไร เช่นว่าจุดที่จะไปปฏิบัติการตรงนี้ คุณต้องรู้ว่า โรงพยาบาลอยู่ตรงไหน เผื่อมีความผิดพลาด ต้องอยู่ในการวางแผน ไม่ใช่คิดว่าจะฟาดอย่างเดียว ชุดปฐมพยาบาลต้องมี  ก่อนปฏิบัติการต้องกินให้เรียบร้อย ไม่หิวก็ต้องกิน ไม่ใช่ว่าไม่หิวแล้วไม่กิน ถ้าคุณไปขึ้นรถชั่วโมงหน้าไม่รู้ว่าจะได้กินไหม”

นายพลตำรวจวัยเกษียณถ่ายทอดเรื่องราวเป็นวิทยาทานจากผู้บังคับบัญชาเก่าด้วยว่า ทุกครั้งที่ออกปฏิบัติหน้าที่ภาคสนามต้องเตรียมพร้อม กินให้เต็มท้อง มีเสบียงที่ไม่บูดเน่าใส่รถ น้ำดื่มขาดไม่ได้เป็นมาตรฐาน ทำให้ชิน น้ำมันรถต้องเต็มถังเสมอ เพราะไม่รู้การเดินทางข้างหน้าจะไกลแค่ไหน ปั๊มน้ำมันจะมีให้เติมหรือไม่ น้ำมันต่ำกว่าครึ่งถังต้องเติมก่อนเข้าบ้าน ยิ่งตอนเป็นนายเวนท่านณรงค์วิชจะเช็กลิสต์ตลอดเหมือนเป็นการฝึกเราไปในตัว

พ้นจากนายเวร พล.ต.อ.ณรงวิช ไทยทอง เขากลับไปทำหน้าที่นายเวร พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ยาวจนเกษียณเก้าอี้รองอธิบดีกรมตำรวจฝ่ายปราบปราม เที่ยวได้เรียนรู้ตำราภาคสนามตามจับผู้ร้าย “ผมยึดถือเสมอ ที่ท่านสอนแล้วนำเอาไปใช้ได้จริง คือเรื่องช็อกแอคชั่นปฏิบัติการในการที่จะเข้าชาร์จเข้าจับกุม ต่อให้คนร้ายพกปืน มือปืนระดับไหนก็ตาม ท่านบอกว่า ให้เข้าแรงๆ เลย ตะโกนเลยบอก เฮ้ย ตำรวจ คนร้ายจะชะงัก ชักปืนไม่ทัน เหมือนพวกหน่วยพิเศษ เพราะฉะนั้นการเข้าต้องเร็ว ต้องแรง ไม่ใช่วิ่งไปแล้วหยุด ไม่สุด วิ่งครึ่งทางแล้วชะงัก ให้วิ่งให้สุด เข้าชาร์จให้เต็มที่เลย เป็นสิ่งที่ท่านสล้างทิ้งไว้ให้กับผม”

พล.ต.ต.ทนัยยืนยันว่า หลักการนี้ตัวเองนำมาใช้ได้ผลในการชาร์จจับกุมคนร้ายคดียาเสพติด เพราะท่านสล้างเป็นตำรวจพลร่มที่ได้รับการฝึกมาจากอเมริกาช่วงสงครามเย็นเป็นต้นแบบให้กับหน่วยรบพิเศษ เป็นหลักสูตรที่ได้รับการถ่ายทอดมาแล้วเราเอาไปใช้ อีกสิ่งที่ท่านสล้างพูดเสมอ คือ นักรบต้องไม่ด่ากัน  อย่าตำหนิ กล่าวหาว่า ใครผิด ต้องรีบแก้ไขปัญหา เพราะไม่มีใครอยากให้เกิด ต้อวจำขึ้นใจว่า ไม่ด่า ไม่ใช้คำหยาบคาย ให้ตั้งสติแล้วแก้ไข และคนที่ไม่ได้อยู่ในซีนต้องเข้าไปช่วยแก้ด้วย สมมติว่า มันมีเหตุจับกัน แล้วมีผู้ต้องหาตายในที่เกิดเหตุ คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุจะเครียดมองช่องทางแก้ปัญหาไม่ออก คนที่ไม่อยู่ในเหตุสติจะดีกว่า จิตใจเบิกบานกว่า ต้องเข้าไปช่วยแก้ คนที่เกี่ยวข้องกับผู้บังคับบัญชา ต้องเข้าไปแก้ปัญหา ทำให้ดีที่สุด

นายเวรของตำนานมือปราบผู้ล่วงลับบอกด้วยว่า ท่านสล้างสอนให้มีจิตสำนึกว่า พอมาเป็นตำรวจแล้วอย่าตักตวงเอาผลประโยชน์อย่างเดียว ไม่ให้อะไรกับองค์กร ไม่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับองค์กรตำรวจ ไม่ได้ส่งเสริมอะไรกลับคืนมา มองแต่ช่องทางใช้ทรัพยากรขององค์กรไปกับเรื่องส่วนตัว ต้องให้ความเป็นธรรมกับองค์กร ให้ความเป็นธรรมกับตัวบุคลากรตำรวจ ที่สำคัญเป็นผู้บังคับบัญชาต้องมองให้กว้าง ไม่ใช่แค่มองที่คนรอบตัว ต้องมีวิชั่น ต้องมองเห็นคนไกล ๆ ที่ทำงาน เป็นคนดี มีความรู้ความสามารถ เพราะบางคนมีความรู้ความสามารถ ประจบไม่เป็น ถือว่า มีศักดิ์ศรี มีความสามารถ แต่ไม่ได้เข้ามาหา สู้คนที่ไม่มีมือในการทำงาน มาประจบสอพลอเอาอกเอาใจไม่ได้ ถึงต้องมองให้ทะลุในสิ่งที่เป็นมายา

หลังจากนั้นย้ายเป็นรองผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ช่วยงานสืบสวนปราบปรามยาเสพติดให้กับ พ.ต.อ.ไพจิตร อ่องศรี รองผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ทำสถิติยอดการจับกมสู่สีกับกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ด้วยการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ควบคู่งานสืบสวนแกะรอย แล้วย้ายกลับไปกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดยุค “เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์”  ต่อเนื่อง “ชัยวัฒน์ โชติมา” สร้างทีมใหม่ แต่เริ่มต้นจากการถ่ายรูปเก็บข้อมูลเหมือนเดิม

ไต่เต้าในหน่วยจนได้เป็นผู้บังคับการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตำแหน่งเปิดใหม่ประเดิมเป็นคนแรกนานถึง 5 ปี นำคอมพิวเตอร์มาพัฒนางานสืบสวนคดียาเสพติดจากการนำฐานข้อมูลไปวิเคราะห์ให้เห็นเครือข่ายของขบวนการค้ายานรก พร้อมนำทีมลงสนามร่วมปฏิบัติการเข้าชาร์จจับด้วยตัวเอง บล็อกด้วยตัวเองจนเกิดความชำนาฯด้วยหลักการที่ผู้หลักผู้ใหญ่สอนมา ประกอบกับการเรียนดูทั้งความสำเร็จ ความสูญเสียมากมายมหาศาล

“การใช้เทคโนโลยีช่วยให้เราทำงานได้ไวกว่าคนอื่นเยอะ คุณขี่มอเตอร์ไซค์ ผมนั่งรถเก๋ง คุณนั่งรถเก๋ง ผมขี่เครื่องบิน ผมจะไวกว่าเยอะเลย นั่งทุกวัน ล่อซื้อปั้นงานเป็นปี บางทีวันเดียวจับได้เลย บางคดีกว่าจะหาสายลับ กว่าจะวางงานล่อซื้อใช้เวลาเป็นเดือน บางทีผมดูกล้องปั๊บ ก็รู้ หรือว่าสายบอก รถคันนี้นะ ขนยา เราเช็กสั่งทีม ใช้เวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมงได้ตัว บางคน 6 เดือนได้งาน ผมวันเดียวได้งานเลย” อดีตผู้บังคับการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดว่า

เขาปั้นงานสร้างชื่อสมกับที่ตั้งหน่วยสกัดยานรก ได้อุปกรณ์เทคโนโลยีอันทันสมัยที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ สนับสนุนอยู่เบื้องหลังต่อยอดจนปัจจุบันเป็นเครื่องมือหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเอาตำรวจ หรือสายลับเข้าไปเสี่ยงล่อซื้อล่อขาย

“ช่วงสมัยทำงาน ถ้าเป็นรถก็เหยียบคันเร่งมิด ผมทำงานแบบไม่ได้ถอนคันเร่ง ไม่มีเกียร์ว่าง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะตำแหน่งไหน ไม่เคยหยุด ทำงานจนวันสุดท้าย ทำแบบนี้มาตลอดหลายปี ไม่เคยปล่อยโอกาสให้ว่าง โดยที่ไม่มีคุณค่ากับตัวเองและหน่วยงาน อยู่ ณ ตำแหน่งหน้าที่ใด สามารถสร้างคุณค่าได้ ไปถ่ายรูป คนอื่นอาจมองไม่เท่  คนอื่นชอบพกปืน แต่ถึงเวลาสู้ผมไม่ได้ ไอ้พวกชอบพกปืน ปืนจะลั่นใส่ด้วย สำหรับผม เอาหลักฐานจากภาพถ่ายขึ้นศาล ศาลเชื่อ ถามว่า ใครแน่กว่ากัน ระหว่างถือปืนกับถือกล้อง พกปืนมีแต่จะเสียตังค์ เพราะชีวิตจริงยิงกันน้อยมาก ถ้าไม่จวนตัว ไม่ได้ยิงกัน” พล.ต.ต.ทนัยสีหน้าจริงจัง

ตลอดระยะ 5 ปีในการนำทัพหน่วยสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด เจ้าตัวมั่นใจว่า รู้จักลูกน้องทุกคนว่าเป็นอย่างไร และกำชับลูกน้องเสมอว่า  ทุกคนมีความสำคัญ แต่ทุกคนจะเข้ายิง เข้าชาร์จหมดทุกคนไม่ได้ ต้องบริหารจัดการกำลังพลหาหน้าที่ให้เหมาะสม เช่นว่า พวกตามมา 3 วัน 3 คืน สลบหมดแล้ว ต้องมีคนมาเฝ้าต่อ อยากจะว่า วิธีการแก้ปัญหาเรื่องอารมณ์ ไม่ให้ไปตีผู้ต้องหา หรือว่าไปแถม กฎหมายห้ามไว้ เราทำไม่ได้  “ผมก็ค้นพบด้วยตัวเองว่า จะทำอย่างไรที่ลูกน้องเวลาจับผู้ต้องหาไปพูดจาไม่ดี หรืออาจจะมีลูกแถม เพราะพวกที่ต้องมา 3 วัน 3 คืนเหนื่อยแล้ว พอจับมาได้ ผู้ต้องหายังโกหกอยู่ บางทีเกิดอารมณ์โมโห เขกหัวบ้าง อะไรบ้าง เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่จะต้องทำเสมอที่ผมค้นพบ คือ ต้องมีทีมสำรองให้ทีมจับได้ต้องถอนตัวเลย เดี๋ยวมันจะมีอารมณ์ พวกเข้าไปใหม่ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมหลังจากไปจับจะเข้าดำเนินการตามหลักการ เปลี่ยนทีมในการควบคุมตัว ให้อีกทีมไปพัก”

อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดย้ำว่า การทำงานของของตัวเองโปร่งใส พอเริ่มเคส เราเปิดไลน์กลุ่ม ทุกคนจะเห็นหมดเวลาสั่งการ ใครมีข้อมูลอะไร ไม่มีโกหก ไม่มีปิดบัง หมดไส้หมดพุงทุกอย่าง แล้วจะเป็นหลักฐาน สามารถเอามาดำเนินคดีได้ ไม่มีใครนอกแถว ไลน์กลุ่มนี่จะทำให้รู้เท่ากัน พอสั่งไป ไม่ว่าจะผู้การ หรือชุดปฏิบัติ เราตรวจสอบได้ ทุกคนจะเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตัวเอง

 ทนัย อภิชาติเสนีย์ !!!

 

RELATED ARTICLES