“ผมค่อนข้างจะบ้าระห่ำ แต่ทำด้วยหน้าที่ ที่ต้องเอาชนะผู้ร้าย”

มือปราบชื่อดังภาคอีสานอีกคนที่เหล่าร้ายสะทกสะท้านในความเด็ดขาดกับมาตรการกำราบโจรแบบถึงลูกถึงคน

พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ สุรคุปต์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ลูกชาย พล.อ.ท.วัชรินทร์ สุรคุปต์ อดีตเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารอากาศ เกิดที่นครราชสีมา แต่ไปเรียนอยู่เมืองกรุงจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเซ็นต์คาเบียล ก่อนสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 23

เจ้าตัวบอกว่า พี่น้องเป็นครอบครัวทหารหมด แต่ตัดสินใจเลือกเป็นตำรวจ เพราะไม่ได้คิดอะไรมาก เห็นเพื่อนสอบเตรียมทหารเลยไปสอบด้วย ครั้งแรกไม่ติดมองว่า เตรียมทหารไปต่อนายร้อยตำรวจมันต้องเรียน 5 ปี เห็นเพื่อนเข้าไปเรียนก่อน กลัวตามไม่ทันเพื่อน ปีถัดมาเลยสอบตรงเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจเรียน 4 ปี ความจริงตอนเด็กเป็นคนเกเร ไม่ค่อยเรียนหนังสือ ครอบครัวอยู่ในวงการม้า มวยสารพัด ตาเป็นคนก่อตั้งสนามม้าที่โคราช แต่เขาเลือกส่งเรามาเรียนในกรุงเทพฯ เพราะกลัวเราเอาแต่ใจตัวเอง

“ผมถูกบังคับให้นั่งวิปัสสนาอยู่วัดมหาธาตุ ต้องเดินจงกลมในโบสถ์ 3 เดือนเพื่อดัดนิสัยตัวเอง สุดท้ายก็ดัดได้ เพราะผมเป็นคนโมโหร้าย เอาแต่ใจ เปลี่ยนเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ไม่อย่างนั้นคงไปใช้ชีวิตอยู่ในคุก” พล.ต.ต.มหัคพันธ์ย้อนวัยคะนอง เขาเล่าว่า หลังจากพ้นรั้วโรงเรียนนายร้อยตำรวจทั้งรุ่นถูกส่งลงบ้านเกิด หรือไม่ก็จังหวัดใกล้เคียงหมด ทำให้เริ่มต้นชีวิตในเครื่องแบบครั้งแรกเป็นผู้บังคับหมวดสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมา

ปรากฏว่า ประเดิมสร้างวีรกรรมจับตายคนร้ายรวดเดียว 4 ศพ

นายตำรวจมือปราบเก่าลำดับความทรงจำว่า ขณะนั้นย้ายมาเป็นหัวหน้าตำรวจโรงพักโพธิ์กลาง สืบทราบว่า มีมือปืนแอบมากบดานในโรงแรมที่กำลังสร้างใหม่จึงนำกำลังไปล้อมจับ คนร้ายไหวตัวยิงต่อสู้เลยเกิดการปะทะกัน ฝ่ายคนร้ายตายยกแก๊ง 4 ศพ วันรุ่งขึ้นเจ้าของโรงแรมถึงกับต้องนิมนต์หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ มาทำบุญและเปลี่ยนเลขที่ห้องใหม่

“มันทำให้ผมได้รู้จักหลวงพ่อคูณตั้งแต่ตอนนั้น ท่านอยู่ข้างโรงพักกองเมืองโคราช แถมตั้งฉายาให้ว่า ไอ้ไม่หักก็พัง พอตอนเป็นผู้การโคราชท่านเลยให้เป็นประธานวัด ปัจจุบันถึงนั่งตำแหน่งประธานกรรมการมูลนิธิหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ท่านเกลียดนักเลง เกลียดยาเสพติด สมัยนั้นดังมากทั้งโคราชมีนายตำรวจแค่ 4-5 คน มีลูกนายตำรวจอยู่ในแก๊งมือปืนด้วย” พล.ต.ต.มหัคพันธ์น้ำเสียงเข้ม

ต่อมา เขาย้ายไปเป็นหัวหน้าโรงพักโพธิ์กลางตามจับตายตีนแมวอีก 2 ศพ นายพลวัยเกษียณยอมรับว่า ตอนหนุ่มเป็นตำรวจใจนักเลงเข้าไปอยู่วงการคุมสนามม้าด้วย ทั้งที่จริงๆ ระเบียบตำรวจห้ามเข้าสนามม้าเด็ดขาด ใครเข้าไล่ออกสถานเดียวตั้งแต่ยุคอธิบดีเผ่า ศรียานนท์ แต่กองทัพทำหนังสือขอตัวมาให้เราเข้าไป เพื่อควบคุมพวกผิดกฎหมายที่มันมีทุกประเภท นักเลง โต๊ดเถื่อน ฉกชิงวิ่งราว เข้าไปก็ทำตำรวจโดนไล่ออกหลายคน เพราะนายให้ไปจดชื่อ ใครเข้าโดยไม่มีหน้าที่ไล่ออกสถานเดียวเลย

พล.ต.ต.มหัคพันธ์ย้ำว่า อยู่ในวงการคลุกคลีเรื่องพวกนี้มาเยอะ ทั้งม้า ทั้งมวย คนที่ก่อตั้งสนามม้า คือ พ.อ.พระยาภิรมย์ มีศักดิ์เป็นตา ยังมีชิงถ้วยพระยาภิรมย์มาจนทุกวันนี้ เราลืมตาขึ้นมาก็อยู่ในวงการ ที่บ้านมีทั้งไก่ชน คอกม้า บ่อนไพ่ตอง ทำให้เรามีพวกเยอะ คลุกคลีอยู่ด้วยกันเวลามีงานอะไรเราก็รู้ เป็นตำรวจสมัยก่อนเที่ยวทุกคืน เรียกว่าเป็นเจ้าพ่อเลย นอนตี 1 ตี 2 ช่ำชองอยู่โคราชเป็นมาทุกตำแหน่ง

สำหรับประวัติเส้นทางราชการหลังออกจากโรงพักโพธิ์กลาง เขาขึ้นเป็นสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอโนนสูง นครราชสีมา สารวัตรปราบปรามสถานีตำรวจอำเภอเมืองนครราชสีมา สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม รองผู้กำกับอำนวยการกองบังคับการตำรวจภูธร 4 รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนกองบังคับการตำรวจภูธร 4

ขยับเลื่อนเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ผู้กำกับการรองหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ ผู้กำกับอำนวยการภูธรจังหวัดสุรินทร์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ก่อนผงาดขึ้นติดยศนายพลตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์แล้วโยกกลับถิ่นเกิดนั่งเก้าผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา เป็นรองผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 จวบจนเกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2550

เติบโตในถิ่นอีสานละแวกบ้านเกิดมาตลอด ผ่านประสบการณ์สืบสวนปราบปรามมานับไม่ถ้วนจนขี้เกียจจดจำ “อย่าให้ผมพูดเลยว่า ทำมาเท่าไหร่ ยิงใครมาบ้าง เวลา 20-30 ปีตั้งแต่ผมจบมาใหม่ ๆ ด้วยนิสัยผมเป็นคนแบบไม่ยอมคน ผมค่อนข้างจะบ้าระห่ำ แต่ทำด้วยหน้าที่ที่ต้องเอาชนะผู้ร้าย ยิ่งบ้านผมด้วย  ต้องรักษาความสงบให้บ้านเรา โจรถึงกลัวหมด เพราะผมถึงลูกถึงคน ผมไม่กลัวอยู่แล้ว”

คดีสำคัญที่เขาไม่ลืมเป็นคดีคนร้ายชิงผู้ต้องหาใต้ถุนศาลจังหวัดนครราชสีมายิงตำรวจตาย 2 ศพ พล.ต.ต.มหัคพันธ์เล่าว่า ตอนนั้นเพิ่มเริ่มติดยศ ร.ต.ท.ยังอยู่กองเมืองนครราชสีมา ตามล่าตัวอยู่หลายวันถึงป่าวังน้ำเขียว ก่อนกวาดเก็บเรียบเกือบหมด 5-6 ศพ เป็นสมัยที่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็น พ.ต.ต.อยู่โคราชด้วยกัน ท่านเลยเห็นผลงานดึงไปเป็นชุดเฉพาะกิจคุม 17-18 จังหวัดภาคอีสานนาน 4 ปี นายใช้ทุกวัน เดินทางตลอด ถึงได้รับการสนับสนุนให้ก้าวหน้า เพราะทำงานอย่างเดียว เข้าโรงเรียนยังไม่ทันจบก็จะจับเราไปลงที่นั่น ที่นี่ เพราะต้องการเราไปทำงาน ไม่ต้องวิ่งเลย

แนวทางการสืบสวนปราบปรามจับกุมยุคนั้น อดีตนายพลนักบู๊อธิบายว่า ยังทำงานแบบตำรวจโบราณ เพราะเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้า ก็ต้องมีซ้อมผู้ต้องหา แต่จะลงมือต้องมีพยานหลักฐานชัด มีคนซัดทอด เดี๋ยวนี้ไม่มีใครกล้าแล้ว เพราะมันเสี่ยงคุก ประชาธิปไตยเบ่งบาน ถ้ามีร้องเรียนตำรวจตายแน่ สมัยก่อนเราชอบเอาชนะ เป็นผู้การโคราชสามารถทำให้ไม่มีรถซิ่ง ไม่มีใครกล้า เอาแค่ปราบรถซิ่งได้ก็กระฉ่อนแล้ว ยาเสพติดก็เกลี้ยง

“ผมเป็นผู้การ บ้านผมอยู่โคราชก็ต้องทำงานฝากชื่อเสียง คนรู้จักเราทั้งเมืองจะเสียชื่อไม่ได้ แค่นี้ผมก็ดังแล้ว ผมไม่รีดไถใคร ผมไม่เคยจัดงานวันเกิด ไม่มีรถซิ่ง ไม่มีคดีใหญ่ๆ สงบหมด ทุกวันนี้ก็หมด ขนาดมือปืนรับจ้างผมยังหลอกให้จ้างไปยิงคน แล้วดักยิงมันอีกที ผมทำงานเชิงรุก สมัยเป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจถ้าทำงานตามระเบียบกฎหมาย มันก็อย่างนั้น ตามไม่ทันผู้ร้าย” พล.ต.ต.มหัคพันธ์เปิดมุมมอง

“ผมไม่อยากคุย ที่เขาบอกตัดตอน ไม่อยากพูดถึง มันยังไม่หมดอายุความ พวกนี้ถ้ากฎหมายยังเป็นอย่างนี้ไม่มีหมด ผมพูดมานานแล้ว เพราะใครทำใครก็รวย แต่กฎหมายไม่ทันทีทันใด กฎหมายต้องเด็ดขาด ตัดสินคดีใน 7 วันเลย ทำไมประเทศเพื่อนบ้านเขาไม่มี เพราะกฎหมายเขาเด็ดขาด ถ้าผู้เสพเป็นผู้ป่วยก็พัฒนาเป็นผู้ขาย ผมคลุกคลีกับพวกนี้มาทั้งชีวิต ผมจับพวกนี้อย่างเดียว มันเป็นบ่อเกิดอาชญากรรม ลัก วิ่ง ชิง ปล้น มาจากพวกนี้ทั้งนั้น”

  อดีตนายพลตำรวจตรีประวัติไม่ธรรมดาให้ความเห็นว่า ถ้าจะเอาให้อยู่ต้องปราบปรามจริงจัง แต่ก่อนนายตำรวจ 4-5 คน ทำกันคนละเป็น 1,000 คดี  ถ้าไม่แข็ง คุมไม่อยู่ก็ตาย มีคดีฟ้องด้วยวาจา จับมาหลายอย่างเป็นแสนๆ คือ ทำงานแบบพูดง่ายๆ ว่า เราชอบด้วยงานพวกนี้ เราเลยทำแบบดุเดือดเลือดพล่าน นายจึงเอามาใช้ แต่กว่าจะได้แต่ละขั้น เสี่ยงคุก เสี่ยงตะรางตลอด

พล.ต.ต.มหัคพันธ์บอกอีกว่า ตลอดชีวิตการทำงานประทับใจหลายคดี มีเยอะมาก สมัยนั้นยังไม่ค่อยมีปัญหาร้องเรียน มีบ้างโดนดำเนินคดีอาญา เคสซ้อมผู้ต้องหา คดียิงคนร้ายก็ต้องขึ้นศาล แต่เราทำงานซะอย่าง งานในหน้าที่ อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปน เช่น มีคนจะว่าจ้างบอกผ่านลูกน้องมา  จ้างให้ไปยิงทิ้งคนเกเร เราไม่เอา เราจะรู้ได้ไงบางทีก็เสี่ยงคุก เสี่ยงตะราง “ผมมีลูกชาย ผมส่งไปเรียนเมืองนอก ไม่ให้เป็นตำรวจเลย พ่อมันจะติดคุกเมื่อไหร่ไม่รู้ คนที่มีลูกแล้วยังให้เป็นตำรวจอีกถือว่า ใจร้าย เพราะทุกวันนี้ทำงานยาก โลกมันเจริญ แถมการจะเป็นใหญ่เป็นโตต้องอิงการเมือง ผู้บัญชาการแทบจะไม่มีสิทธิขอให้ลูกน้องได้สักคน แล้วจะไปทำงานอะไรกัน”

“ตำรวจสมัยนี้วิ่งเข้าหาเส้นสาย ทำงานไม่สนุก ลูกน้องผมถึงเวลาหน้าโยกย้าย ย้ายเลย ไปลำบาก เขาไม่ได้มาดูผลงาน ผมก็ไม่รู้จะว่าไง สงสารมัน คือ ผู้ใหญ่ไม่ได้มาดูผลงาน ถึงเวลาจับย้ายก็ย้าย ไม่มีคุณธรรม เมื่อก่อนคนมีผลงานอย่างผมไม่เคยเสียสตางค์ ใช้ผลงานที่ทำ เพราะนายเห็น ผมอยู่โรงพักที่ไม่ดี กุฉินารายณ์ 4 ปี ใครไปอยู่ปีเดียวขอย้ายหมด อยู่พยัคฆภูมิพิสัย หนองกี่ มีแต่อำเภอที่ไม่ดี เพราะไม่มีเส้น แต่นายเขาก็ย้ายเราไปทำงาน ใช้เรา ผมก็ทำงานสนองนโยบาย ท่านก็ดูแลเรา” มือปราบรุ่นเก่าชำแหละความจริงของวงการสีกากีในปัจจุบัน

สุดท้าย เจ้าตัวอยากฝากตำรวจรุ่นหลังเป็นข้อคิดว่า ควรเลิกพฤติกรรมซ้อมอะไรได้แล้ว ทำงานไปตามเนื้อผ้า ไม่อย่างนั้นอาจติดคุก อย่าไปเสี่ยง วิทยาการรุดหน้าไปมาก จับผู้ต้องหาคดีใหญ่ๆ ได้หมด วงจรปิดมันช่วยได้เยอะ ตรงที่เกิดเหตุไม่มีก็ไปดูตามเส้นทาง ไล่ได้ตลอด ตำรวจเก่ง วิทยาการก้าวหน้ามาก การใช้เทคโนโลยี อยากเตือนในฐานะรุ่นพี่ด้วยว่า อย่าไปหากินกับสิ่งผิดกฎหมาย อย่าโลภ เพราะไม่มีความลับ

    มหัคพันธ์ สุรคุปต์ !!!

 

RELATED ARTICLES