“น่าน “เมืองเล็กๆ น่ารักกลางหุบเขา ที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากทั้งขาจรขาประจำ กำลังหลั่งไหลมาเยือน หลังความงดงาม และบริสุทธิ์จากกระแสโลภาภิวัฒน์ ของเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ถูกกล่าวขานกันปากต่อปาก วิถีชีวิตผู้คนที่ยังเป็นแบบเดิมๆ เรียบ ง่าย บ้านเมืองที่ยังเงียบสงบ วัดวาอารามเก่าแก่ทรงคุณค่า สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม อากาศที่ดี รวมถึงค่าครองชีพที่ไม่สูงนัก เป็นสิ่งจูงใจให้ผู้คนถวิลหาอยากมาเที่ยวเมืองน่าน
ได้มาเหยียบเมืองน่านเป็นครั้งแรกในชีวิตและตั้งอกตั้งใจที่จะไปมากกกก.. น่านไม่ใช่เมืองผ่าน แต่เป็นเมืองที่ต้องตั้งใจไปจริงๆ เพราะต้องข้ามผ่านเทือกเขาหลายลูก เส้นทางยากลำบาก เมื่อได้รับเชิญจากเพื่อนรัก “อ้อย-กรรณิการ์ สงฆ์เจริญ” บิ๊กบอสบริษัท แอร์บอร์น ที่ดูแลโครงการ “ปิดทองหลังพระ” โครงการที่ชุบชีวิตผู้คนชาวน่านให้อยู่ดีกินดี ให้ไปดูวิถีผู้คนและความงดงามของเมืองน่าน จึงไม่รอช้าที่จะตอบตกลงทันที
ทริปไปเยือนเมืองน่านเริ่มขึ้นแต่เช้าตรู่ หลังลงเครื่องบินที่สนามบินน่าน สนามบินเล็กๆ แต่น่ารัก ในเวลาประมาณ 8 โมงเช้า ก็เดินทางไปกราบพระเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ในการมาเหยียบแผ่นดินน่านที่วัดภูมินทร์เป็นวัดแรก วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่อายุประมาณ 440 ปี มีพระประธาน 4 องค์ในสี่ด้าน ทำให้พวกเราหมดสิทธิ์ปิดทองหลังพระ ที่นี่จะมีมัคคุเทศก์น้อยเป็นเด็กนักเรียนหญิง มาคอยให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยว เสียงใส ๆ เจื้อยแจ้วเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของภาพ “ปู่ม่าน ย่าม่าน” ภาพวาดจิตรกรรมชื่อดัง ทำให้เราถึงบางอ้อกับคำว่า “กระซิบรักบันลือโลก” หลังจากที่งวยงงอยู่นานสองนาน
ออกจากวัดภูมินทร์เดินเหงื่อยังไม่ทันตก ก็ถึงวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร กราบพระและนมัสการ เจดีย์ช้างล้อมทรงสุโขทัย ที่มีรูปปั้นช้างอยู่รายรอบเจดีย์ เสร็จแล้วก็ไปที่พิพิธภัณฑ์ ซึ่งเสียเข้าชมแค่ค่า 20 บาท (ถูกมั่กๆ) ในพิพิธภัณฑ์มีของคู่เมืองน่าน คือ งาช้างดำ นอกจากนี้ในบริเวณพิพิธภัณฑ์ ยังมีวัดเล็กที่สุดในประเทศ ชื่อ วัดน้อย ลักษณะคล้ายศาลพระภูมิ สาเหตุที่เป็นวัดเล็กกระจิดริดกระจิ๋วหลิว ตามตำนานว่าเป็นเพราะ ในสมัย ร. 5 ได้มีการทำบัญชีรายชื่อวัดส่งทางการ แต่เจ้าหน้าที่นับวัดในเมืองน่านเกินไปหนึ่งวัด เลยต้องสร้างวัดน้อยขึ้นเพื่อให้วัดครบตามบัญชี
อีกวัดเก่าแก่ที่ควรค่ามากราบไหว้คือวัดมิ่งเมือง ที่เป็นต้นแบบวัดร่องขุ่นที่เชียงราย มาเมืองน่านแล้ว พลาดไม่ได้ที่จะต้องขึ้นไปชมวิวเมืองน่านจากมุมสูง ที่วัดพระธาตุเขาน้อย ที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ คือ พระพุทธมหาอุตมมงคมนันทบุรีศรีเมืองน่าน สร้างเมื่อปี พ.ศ.2542 จะเห็นขุนเขาน้อยใหญ่ ตั้งทะมึนโอบล้อมเมืองน่านเหมือนน่านเป็นเมืองลับแลในตำนาน
เที่ยงพอดีท้องหิวแล้ว เลยแวะไปกินข้าวซอยร้านแห่งหนึ่งเป็นแบบบ้านๆ แต่อร่อยโดนใจชื่อร้าน “ข้าวซอยต้นน้ำ” อยู่ถนนสุริยะพงษ์ ทั้งข้าวซอยเนื้อข้าวซอยไก่ ลำแต้ๆ ที่สำคัญคือไม่ใส่ผงชูรส ติดกันเป็นร้านกาแฟชื่อ HOT BREAU นั่ง ๆ กินอยู่มีแม่ค้านำข้าวหลามมาเสนอขาย นัยว่าเป็นเจ้าอร่อยสุดของเมืองน่านชื่อ “แม่ปิ่น”ผลิตอยู่ที่อ.ท่าวังผา แม่ค้าโฆษณาว่าเป็นข้าวหลามสูตรโบราณ ลำเหลือหลาย เลยลองซื้อชิมดูเข้าท่าแฮะ ข้าวเหนียวนุ่ม นวลเคี้ยวไม่เจ็บฟัน รสชาดอร่อยดีไม่หวานจัด เหมาะเจาะกับกระเพาะของเรา ทั้งยังหอมเยื่อไผ่ในกระบอกข้าว หลามอีกด้วย สำหรับต้นไผ่ที่นำมาทำข้าวหลาม มีเคล็ดลับว่า ต้องเป็นไผ่ที่ขึ้นตามร่องห้วยของป่าไผ่ จะช่วยทำให้รสชาติข้าวหลามอร่อยเด็ดดวงนัก เที่ยวแล้วกินแล้ว ถ้าอยากช็อปปิ้ง ต้องไปที่นี่….ซื้อผ้าลายน้ำไหลที่เป็นเอกลักษณ์เมืองน่านและเครื่องเงิน
สำหรับ คนที่ชอบปั่นจักรยาน สามารถหาเช่าจักรยานขี่ชมเมืองได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จ.น่าน ในราคาชั่วโมงละ 20 บาท ปั่นจักรยาน ชมเมืองในบรรยากาศเย็นๆ กับ วิวดั้งเดิมของเมืองน่าน ก็จะได้บรรยากาศอีกแบบที่ไม่ธรรมดา จนอยากให้เวลาหมุนช้าที่เมืองน่านจริงๆ คนเมืองน่านเล่าให้ฟังว่า ผู้นำชุมชนที่นี่เข้มแข็งมาก และแม้ว่าจะไม่สามารถหยุดยั้งโลกาภิวัฒน์ที่ถาโถมเข้ามาได้ แต่ทุกคนก็พร้อมใจที่จะรับมือกับสิ่งเหล่านไม่ให้เมืองน่าน ต้องสูญเสียสภาพความเป็น “น่าน” ในแบบฉบับเดิมๆ ไป เหมือนกับเมืองท่องเที่ยวชื่อดังหลายเมือง ที่มีสภาพเละตุ้มเป๊ะไปแล้ว ที่น่ารักที่สุดก็คือที่เมืองนี้ไม่มีร้านเหล้าปั่นแม้แต่ร้านเดียว เมื่อตกกลางคืนเมืองน่านจะเงียบสงบมาก เหมาะสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง
ออกจากเมืองน่านตอนบ่าย เป้าหมายไปที่วัดหนองบัว ต.ป่าคา อ.ท่าวังผา ซึ่งเป็นวัดของชาวไทลื้อ ตามประวัติบอกว่าสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 วัดวาแสนสะอาดสะอ้าน ร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่น้อย ตรงลานริมทางเข้าวัดจะมีพ่ออุ๊ยมานั่งเล่นสะล้อซอซึง ต้อนรับนักท่องเที่ยว บางคนก็กวาดใบไม้ทำความสะอาดลานวัด ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่อนุรักษ์วัฒนธรรม ภาพจิตรกรรมที่วัดนี้สวยงามไม่แพ้ที่วัดภูมินทร์ ส่วนที่หลังวัดมีพิพิธภัณฑ์ไทลื้อและยังมีการทอผ้าโชว์นักท่องเที่ยว และมีผ้านุ่งผ้าถุงรวมทั้งเสื้อไทลื้อวางจำหน่าย ก็เลยช่วยกระจายรายได้จากกระเป๋าตัวเองเข้ากระเป๋าชาวบ้านไปซะหลายพันบาท
จากวัดหนองบัวไปถึง อ.ปัวเย็นย่ำพอดี แม้จะอยู่ในช่วงต้นปีแต่อากาศที่นี่เย็นจับใจ เข้าพักที่ “อูปแก้วรีสอร์ท” รีสอร์ทเล็กๆ บนเนินเขา หลังกินข้าวกินปลาที่สวนอาหารเรณูเสร็จสรรพ ก็มานั่งเม้าท์มอย เรื่องราวชาวน่านที่น่าทึ่ง จนดึกถึงน้ำค้างตกก็ผงกหัวไปนอน แล้วรีบตื่นมาแต่เช้าตรู่ดูวิวท้องฟ้าและทิวเขาสวยหน้าที่พัก
แต่ที่ประทับใจกว่าคือระหว่างทางจาก อ.ปัวไป อ.ห้วยโก๋น ถนนที่ทอดยาวขนานกับทิวเขายาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา กับม่านหมอกที่ลอยอ้อยอิ่ง ล้อยอดไม้ในตอนเช้า พระอาทิตย์ดวงกลมโตกำลังขึ้นจากขอบฟ้าสาดแสงสีทองส่องถนนเป็นเงางาม สวยกระชากใจให้ต้องจอดรถคว้ากล้องลงไปถ่ายภาพเก็บไว้เป็นความทรงจำในชีวิตการเดินทาง
นี่คือมนต์เสน่ห์เมือง “น่าน” เมืองเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ในใจผู้รักการเดินทาง!!!
แล้วฉันจะกลับมาอีก “น่าน” ที่น่ารัก