“ทั้งนี้มันเป็นผลมาจากการทำข่าวอาชญากรรมมานาน อธิบายยากเหมือนกัน มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว”

 

นักข่าวทีวีมือทองของสำนักข่าวไทย

สุรชา บุญเปี่ยม คว้ารางวัลจากการเจาะข่าวมานำเสนอสู่สังคมไม่น้อย ด้วยประสบการณ์ในสนามที่ยาวนานเกินกว่า 20 ปี หลังเรียนจบคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตรงกับความมุ่งมั่นใฝ่ฝันจะเป็นนักข่าวมาตั้งแต่เด็ก

เริ่มฝึกงานสายข่าวกีฬาหนังสือพิมพ์มติชน ไม่คิดชีวิตจะพลิกเป็นนักข่าวอาชญากรรม เพราะสมัยนั้นคนเป็นนักข่าวอาชญากรรมไม่จำเป็นต้องจบปริญญาตรี โดยหลักถ้าไม่ไปอยู่กีฬาก็ไปเป็นนักข่าวการเมืองกับเศรษฐกิจ กระทั่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเริ่มต้นประกาศรับสมัครผู้สื่อข่าวที่จบปริญญาตรี มีส่วนกระตุ้นให้หนังสือพิมพ์คู่แข่งอย่างเดลินิวส์เปิดรับสมัครบ้าง

เด็กหนุ่มลูกแม่โดมชั่งใจอยู่นาน แต่รู้สึกติดตาข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ของทีมข่าวอาชญากรรมค่าย “สีบานเย็น” ในคดีวิสามัญฆาตกรรม 7 ศพจังหวัดลพบุรี กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้เขาเลือกมุ่งเข้าสังกัดหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ พร้อมเดชา ภู่พิชิต เพื่อนสนิทมหาวิทยาลัยเดียวกัน

“ สมัยนั้นไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกมือมากมายเหมือนสมัยนี้ มีแค่ ว.ตัวเดียว โทรศัพท์ก็ต้องหาโทรตามโรงพัก ทำให้ตื่นตัวตลอดเวลา พลาดไม่ได้ ตำรวจก็ต้องตีสนิท คลุกคลีแต่ได้ประโยชน์มาก เมื่อได้คุยกับตำรวจที่มีประสบการณ์ เช่น ธนู หอมหวล สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ ที่มักเล่าเรื่องเก่า ๆ เกี่ยวกับวิธีการสืบสวนสอบสวน ทำให้เห็นภาพซึมซับเป็นประสบการณ์ไปในตัว ถ้ารับผิดชอบอยู่เขตนครบาลใต้ ก็ต้องไปดูโรงพยาบาลตำรวจ ไปเกี่ยวข้องกับสถาบันนิติเวช เรียนรู้เรื่องราวการพิสูจน์ศพ พิสูจน์หลักฐาน ถือเป็นภาคทฤษฎีที่หาเรียนที่ไหนไม่ได้” สุรชาย้อนเรื่องราว

ช่วง 3 ปีแรกที่เป็นนักข่าวน้องใหม่ค่ายเดลินิวส์ เขาแสดงฝีมือคว้ารางวัลข่าวยอดเยี่ยมในการประกวดของชมรมผู้สื่อข่าว-ช่างภาพอาชญากรรม 3 ปีซ้อน เริ่มต้นจากข่าวจับโชว์ลามกที่ลานสเก็ต ท้องที่ สน.บางเขน ปีต่อมา เปิดปมข่าวเรื่องตู้โทรศัพท์มรณะที่ไฟรั่วดูดนักศึกษาธรรมศาสตร์ตาย กลายเป็นเรื่องของพนักงานชุ่ยจากคดีธรรมดาขยายประเด็นไปเป็นข่าวใหญ่ในสังคม และอีกปีก็คว้ารางวัลข่าวเรื่องของนรกดิสโก้เธค เปิดโปงขบวนการค้ายาเสพติด และค้าประเวณีเด็กในสถานบันเทิงของวัยรุ่นยุคนั้น

ต่อมา ข่าวโทรทัศน์เริ่มบูมมากขึ้น มีการดึงคนหนังสือพิมพ์เข้าไปทำข่าวทีวีกันคึกคัก สำนักข่าวไทยช่อง 9 อสมท. เปิดรับนักข่าวประเภทอาชญากรรมเป็นครั้งแรก หอมหวลยั่วยวนให้สุรชา ตัดสินใจไปสมัครสอบแข่งกับคนประมาณ 1,500 คน รับแค่ 17 คน คุณสมบัติการใช้ชีวิตแบบคนโสด ขี้เหล้าเมายาอย่างเขากลายเป็นที่ต้องการของช่อง 9 อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจากไปตรงกับสเปกที่สำนักข่าวไทยต้องการคนเจาะข่าวอาชญากรรมที่มาจากนักข่าวตระเวนหนังสือพิมพ์  เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา และสถานที่ เหมือนตระเวนข่าวที่ต้องทำงานกลางคืนหมุนรอบไปตามผลัด

ผันตัวเปลี่ยนสไตล์การทำงานจากนักข่าวหนังสือพิมพ์เป็นนักข่าวโทรทัศน์สังกัดช่อง 9 สุรชาถูกส่งไปเกาะสถานการณ์ตามแนวชายแดนกัมพูชาที่กำลังคุกรุ่น สวมวิญญาณนักข่าวสงครามอยู่หลายเดือน กระทั่งเกิดคดีสังหารหมู่ 9 ศพพระไทยและแม่ชี วัดพรหมคุณาราม เมืองฟีนิกซ์ รัฐอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา มี โจนาธาน ดูดี้ หนุ่มลูกครึ่งไทยอเมริกันวัย 16 ปี ตกเป็นฆาตกรอำมหิตสะท้านโลก เขาโดนส่งไปเกาะประเด็นข่าวบินไปบินมาอยู่ 3 รอบ สุรชาบอกว่า พอไปดูที่เกิดเหตุประสบการณ์มันสอนเลยว่า เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ต้องหารายนี้จะก่อเหตุโดยอ้างเป็นการปล้น

“หลักฐานที่เห็น คือ เงินในตู้บริจาคอยู่ครบ เหยื่อทั้งหมดถูกจับมานั่งล้อมวงรวมกันแล้วใช้ปืนกระบอกเดียวกันยิง มันเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยพระที่ตกเป็นเหยื่อต้องมีหนี มีดิ้นรนต่อสู้ พระบางรูปอายุ 30 กว่า ตำรวจอเมริกันบอกมีคนร้าย 2 คน ยิ่งเป็นไปไม่ได้ พระบางรูปเป็นนักมวยด้วย แต่มีรอยโดนต่อย มีรอยโดนฟัน  แสดงว่าไม่ใช่แน่ เป็นเรื่องที่ใหญ่โตมากขณะนั้น หมอนิติเวชแถลงผลพิสูจน์ศพระบุเหตุเกิดประมาณตี 3 พบศพ 10 โมงเช้า เวลาขึ้นศาลกลับไม่เอาผลตรวจนิติเวชขึ้นไปเบิกความ และยังอ้างเหตุ 3 ทุ่มครึ่งถึง 4 ทุ่ม ผมไปหาพยานพบว่า ช่วงนั้นพระยังไม่กลับจากการสวดบังสกุลที่อื่น กลับมาถึงจริงตอน 5 ทุ่ม พระรูปหนึ่งยังโทรศัพท์หาญาติโยม มีหลักฐานเป็นพยานบุคคลชัดเจน”

นักข่าวหนุ่มใหญ่มากประสบการณ์ฟันธงชัดว่า โจนาธานไม่ได้เป็นคนร้ายแน่นอน เมื่อรายงานข่าวส่งมายังเมืองไทยจึงเกิดความขัดแย้งและกลายเป็นข้อกังขาหลายประเด็น สุรชาพยายามนำหลักฐานที่พบพิรุธในสำนวนการสอบสวนมาตีแผ่ หลังศาลรัฐอริโซน่าตัดสินจำคุกโจนาธาน281 ปี กระทั่งเมื่อ 3 ปีก่อน ศาลอุทธรณ์เพิ่งพิกาษายกฟ้อง และเดือนเมษายนปีนี้ ศาลฎีกาจะพิพากษาเป็นที่สิ้นสุด เวลาผ่านไปกว่า 20 ปี เขาก็ยังตามเกาะติดตลอด “มันเป็นแพะแน่ ๆ เพื่อลดกระแสความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พยายามเบี่ยงประเด็นว่า คนไทยปล้นกันเอง นานถึง 17 ปี ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาใหม่ และชี้ว่า โจนาธานโดนบังคับข่มขู่ให้รับสารภาพ ใช้วิธีทรมานด้วยการไม่ให้กินข้าวกินน้ำจนเด็กทนไม่ไหว”

 “มันมาจากการทำข่าวตระเวน” สุรชาย้ำ เราอยู่กับตำรวจเราก็เคยเห็นวิธีการซ้อมผู้ต้องหา แต่ส่วนมากนักข่าวก็ไม่มีอะไร ถ้ารู้ว่าคนนั้นเป็นตัวจริง แต่กรณีนี้ ไม่ใช่ โทษถึงประหาร ประสบการณ์ทั้งการพิสูจน์หลักฐาน และการผ่าศพที่เรียนรู้มาได้เอาไปใช้ทำข่าวในอเมริกาครั้งนั้นถ้าไม่มีประสบการณ์มาก่อนคงต้องไปถามเจ้าหน้าที่เขาอย่างเดียว และต้องเชื่อด้วย ทั้งที่ก่อนหน้ามีจับวัยรุ่น 3-4 คนเป็นชาวเม็กซิกัน และนิโกร ตำรวจแถลงข่าวใหญ่โตบอกคนร้ายรับสารภาพด้วย ปรากฏว่า มีการเดินขบวนประท้วงโจมตีตำรวจ มั่นใจว่า ตำรวจอุ้มไปแน่ ๆ เนื่องจากญาติมีพยานหลักฐานยืนยันสถานที่เกิดเหตุในวันที่พระถูกฆ่า ที่ต้องรับสารภาพเพราะโดนยัดข้อหาเอาปืนจ่อขู่

นักข่าวมือดีบอกว่า ภายหลังแพะพวกนี้ได้รับการปล่อยตัว และเรียกร้องค่าเสียหายไปหลายสิบล้านดอลลาร์ มีแพะรุ่นที่ 2 เป็นโจนาธานลูกครึ่งไทยที่ติดคุกมาแล้ว 20 ปี เขาก็ยังตามข่าวอยู่ไม่เคยทิ้ง และกำลังรวบรวมเขียนเป็นหนังสือเสนอเรื่องราวปริศนาคดีฆ่าพระไทยในอริโซน่า และวางแผนจะไปสหรัฐอเมริกาเพื่อทำเรื่องนี้อีกรอบ สะท้อนภาพเมืองไทยที่คล้ายกัน เช่น คดีจอบิ ตกเป็นผู้ต้องหายิงรถนักเรียน

“จอบิ เป็นแพะตั้งแต่ต้น ผมชำนาญพื้นที่ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ผมไม่เชื่อ ผมขอไปทำข่าว เพราะเห็นข่าวแล้วไม่ได้ดั่งใจ ถ้าจอบิ เป็นตัวจริง วันนั้นอยู่ไหน เขาบอกมันเก็บมะเขืออยู่ แล้วทำไมไม่ไปดูล่ะว่า มันอยู่จริงมั้ย ต้องมีพยานเห็น ผมไปหาพยานได้ 10-15 คน คนด่ากันเต็มเลยว่า จอบิมันเก็บมะเขืออยู่ไม่ได้ออกไปไหน และยังเห็นเครื่องบินวนหาคนร้าย ก่อนไปซื้อเหล้าขาวกิน ติดเงินร้านค้าอีก 300 บาท ผมไปสัมภาษณ์หมด แม้จะขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ที่แถลงข่าวใหญ่โตยืนยันจอบิ เป็นคนร้าย ไม่ผิดตัวแน่นอน ขัดแย้งกับกองบรรณาธิการข่าว” สุรชาไม่เคยลืม

“ผมไปเจาะข่าวเอง ทำสกู๊ปเอง สวนกระแสสังคมตอนนั้นหมด มีคนมองผมเป็นตัวตลก ผมรู้ รู้กระทั่งคนยิงด้วย แต่ บก.ก็ไม่อยากให้ทำ กลัวพลาดแล้วช่อง 9 จะเสีย ผมก็บอกว่า ไม่อยากได้ข่าวเดี่ยวที่เป็นของช่อง 9 ทำช่องเดียวบ้างเหรอ บางคนไม่มีเหตุผล ไม่เคยทำข่าวอาชญากรรม ไม่รู้เรื่องแบบนี้ว่า การหาพยานเขาหากันอย่างไร ดีที่ผู้บริหารระดับสูงไม่ได้มายุ่ง และเชื่อผม เรื่องนี้ผมขึ้นเป็นพยานศาลด้วย ในที่สุดคำพิพากษายังอ้างหลักฐานจากสำนักข่าวไทยที่รายงานข่าว มีพยานตรงนั้น ตรงนี้ พยานที่อยู่ในข่าวก็ขึ้นเบิกความให้การตรงกับที่สัมภาษณ์ ในที่สุดจอบิ หลุด ทั้งนี้มันเป็นผลมาจากการทำข่าวอาชญากรรมมานาน อธิบายยากเหมือนกัน มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว หลาย ๆ คดีก็เป็นแบบนี้”

คดี “แพะจอบิ กะเหรี่ยงที่ตกเป็นเหยื่ออธรรม” ทำ สุรชา บุญเปี่ยม คว้ารางวัล “ข่าวยอดเยี่ยม” ของมูลนิธิแสงชัย สุนทรวัฒน์ สร้างชื่อให้ทีมข่าวช่อง 9 อสมท เหมือนอีกหลากหลายรางวัลจากผลงานของเขาที่เสียสละเวลาเจาะลึกเอาข้อมูลมาเปิดโปงความจริงสู่สังคม ซึ่งตลอดชีวิตการทำข่าวทีวี สุรชากวาดรางวัลจากการประกวดมาทั้งหมด 17 รางวัล เป็นรางวัลมูลนิธิแสงชัยที่ เทียบเท่าพูลิตเซอร์ของหนังสือพิมพ์ที่กวาดไปคนเดียว 9 รางวัล แต่เจ้าตัวมองว่า มันเป็นแค่ผลพลอยได้จากการทำงานมากกว่า เป็นการรักษาระดับมาตรฐานความสามารถ  แต่ไม่ใช่เก่งกาจกว่าเขา บางคนอาจเก่งกว่า แต่ไม่อยากประกวดก็มี

เจ้าของรางวัลข่าวยอดเยี่ยมมากมายจนสร้างชื่อให้ต้นสังกัดยอมรับว่า มีหลายข่าวที่ตัวเขาต้องตกเข้าไปอยู่ในชนวนความขัดแย้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกขวัญผวา เพราะเชื่อว่า ทำข่าวไปตามเนื้อผ้า ตามหน้าที่ไม่ได้มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ได้ใส่ร้ายป้ายสีใคร จะมีบ้างก็แค่ขู่เช่นกรณีสถาบันราชภัฏเพชรบุรีไปยึดที่ดินชาวบ้าน พอเข้าไปหาข้อมูล ก็มีการปล่อยข่าวมือปืนเมืองเพชรเริ่มป้วนเปี้ยนในพื้นที่แต่ก็ไม่มีอะไร ทำอยู่นานหลายปีในที่สุดแล้ว ศาลมีคำสั่ง  เจ้าหน้าที่ของรัฐ คือ ครูอาจารย์ที่ทำโครงการของสถาบันกระทำความผิด ที่ดินทั้งหมดตกเป็นของชาวบ้านตามเดิม

“มันเป็นอีกข่าวหนึ่งที่ผมภูมิใจ สามารถช่วยเหลือชาวบ้านที่โดนฮุบที่ดินไปแล้วสามารถเอากลับคืนมาได้ ชาวบ้านเจอหน้าประมาณรุ่นยายต้องนั่งคุกเข่าขอบคุณ เป็นส่วนหนึ่งให้ศาลพิจารณาด้วยความเป็นธรรม เป็นปากเป็นเสียงให้ผู้ที่ยากไร้ ไม่มีโอกาสได้ต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม ความคิดของผม นักข่าวส่วนใหญ่มักเข้าหาพวกที่ได้รับโอกาสทางสังคมสูง นักการเมืองก็ดี พ่อค้า นักธุรกิจ ขณะที่ชาวบ้านที่เดือดร้อนจากการกระทำของรัฐจะเข้าถึงนักข่าวยากมาก ดีไม่ดีนักข่าวบางคนไม่พอใจที่ไปยุ่งกับเขา มองมันเปลืองตัว  ทั้งที่เป็นหน้าที่หลักของสื่อมวลชน คือ การสร้างความจริงให้ปรากฏ ข่าว ก็คือข่าว”

ปัจจุบัน สุรชา บุญเปี่ยม ตำนานนักข่าวทีวีมือทอง 17 รางวัลหันหลังให้กับต้นสังกัดสำนักข่าวไทยที่อยู่มานานเกือบ 30 ปี เมื่อตัดสินใจยื่นใบลาออกไปใช้ชีวิตนั่งเขียนพ็อกเกตบุ๊ก และเป็นวิทยากรบรรยายตามมหาวิทยาลัย

 “จริง ๆ ผมไม่อยากออกนะ แต่เกิดจากปัญหาภายในที่ทำร้ายจิตใจผมมาก ทั้งที่ผมอยากเป็นนักข่าวตลอดชีวิต ทุกวันนี้ยังคิดว่า ตัวเองเป็นนักข่าวตลอดเวลา ทำงานแบบนี้มาตอนอายุ 20 กว่า มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของดำเนินชีวิตไปแล้ว”

เป็นคำพูดระบายความอึดอัดที่เขาเก็บความชอกช้ำไว้เพียงลำพัง

 

RELATED ARTICLES