“ผมไม่ได้มาจากการเมือง ผมมาจากที่ผมบ้าบอล”

นุ่มไฟแรงทายาทอดีตนักการเมืองภาคเหนือที่หันมาจับทีมฟุตบอลอาชีพท่ามกลางข้อสงสัยมี “นายใหญ่”หนุนอยู่เบื้องหลังหรือไม่

ไม่แปลกที่ “บิ๊กฮั่น” มิตติ ติยะไพรัช ลูกชายคนโตของยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน จะเจอคำถามซ้ำซากหลังเจ้าตัวกระโดดลงไปเป็นประธานสโมสร “กว่างโซ้งมหาภัย” เชียงราย ยูไนเต็ดด้วยวัยเพียง 20 เศษเมื่อ 2 ปีก่อน

กระทั่งพาทีมลูกหนังเชียงรายดีขึ้นผิดหูผิดตาสามารถผงาดสู้ศึกไทยลีกสูงสุดของประเทศในเวลาเร็วเกินคาด

“คุณพ่อไม่เห็นด้วย ในความคิดของคุณพ่อมองว่า ไม่รู้ทำฟุตบอลไปเพื่ออะไร” มิตติบอกความในใจของพ่อที่ไม่ต้องการอยากให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทำทีมฟุตบอล ทั้งที่เป็นจังหวัดบ้านเกิดของตัวเอง

มิตติเกิดที่เชียงราย พออายุ 16 ปีถูกส่งไปเรียนไฮสคูลประเทศนิวซีแลนด์ ก่อนบินกลับมาเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คว้าดีกรีปริญญาตรี และปริญญาโทตามลำดับ แต่กลับหันมาบ้าเกมฟุตบอลลงทุนขอสิทธิจังหวัดเชียงรายไปสร้างทีมลูกหนังกว่างโซ้งมหาภัยลงแข่งฟุตบอลลีกภูมิภาคดิวิชั่น 2

เขาบอกว่า ตอนนั้นว่าง ๆ อยากทำอะไรที่ตัวเองชอบตามความฝัน คิดอะไรไม่ออก เห็นช่วงนั้นฟุตบอลยังไม่ค่อยบูม  เงินลงทุนในการทำก็ต่ำ ชอบฟุตบอลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เห็นว่า เชียงรายไม่มีคนทำ เป็นปีแรกของลีกภูมิภาคจึงไปขอสิทธิมาทำ เริ่มทำครึ่งฤดูกาลผ่านไปฟุตบอลอาชีพเริ่มบูมก็เลยเหมาะเจาะกันพอดี

ปีแรกของเชียงราย ยูไนเต็ด มีผลงานเกินเป้าสามารถผ่านทะลุขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 ด้วยเงินจากสปอนเซอร์ มิตติเล่าว่า ช่วงนั้นฟุตบอลอาจจะยังไม่บูมที่อื่น แต่ที่เชียงรายคนเข้ามาดูเยอะมาก เพราะเราค่อนข้างชนะต่อเนื่อง ชนะสิบนัดรวด ทำให้มีกองเชียร์มากขึ้น เราก็พยายามให้ความรู้แก่กองเชียร์ว่า การทำฟุตบอลให้มันยั่งยืนไม่ใช่ต้องหาใครรวยๆ มาทำ ต้องมาช่วยกัน อย่างน้อยซื้อตั๋ว ซื้อของที่ระลึก ตรงนี้จะช่วยทำให้ทีมฟุตบอลอยู่ได้อย่างยั่งยืน ทุกวันนี้เป็นที่นาภูมิใจว่าแฟนฟุตบอลเชียงรายถามหาตั๋วตลอด เวลาให้ดูฟรีเขาก็จะอยากจะช่วยสโมสร เขาพร้อมจะเสียเงินเข้ามาดู เราสร้างสำนึกรักบ้านเกิด สร้างให้เขารู้ว่า การทำฟุตบอลพื้นฐานมันอยู่ที่เงิน แต่การที่จะทำฟุตบอลให้ยั่งยืนไม่ใช่ว่า คนใดคนหนึ่งมาทำ

“ต้องบอกตามตรงว่า ช่วงนั้นมรสุมเยอะ คุณพ่อเห็นโมเดลทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ต้องใช้ตังค์อย่างเดียว เขารู้มาตั้งแต่ต้น เวลาทำทีมบอลถ้าลงไป 100 เปอร์เซ็นต์ เดือนต่อเดือนชักหน้าไม่ถึงหลังแน่นอนถ้าไม่มีสปอนเซอร์ มันเสี่ยงพอสมควร ปีแรกหมดไปราว 4-5 ล้านบาท แต่ก็พอหาสปอนเซอร์มาครอบคลุมได้ แต่ตอนนี้ขึ้นมาอยู่ไทยลีก บุคลากรฟุตบอลค่อนข้างมีน้อยกว่าความต้องการของทีมฟุตบอล เพราะฉะนั้นมันก็เลยทำให้ค่าตัวของนักฟุตบอลเก่ง ๆ มันสูง ฟองสบู่จะแตกสักวันแน่นอน ถ้าเราไม่มีเพดานค่าเหนื่อย ยอมรับว่าเหนื่อยพอสมควร”

หลังจบเลกแรกของลีกสูงสุดเมืองไทย ประธานสโมสรเชียงราย ยูไนเต็ดมองว่า  ฟอร์มยังดีอยู่ แม้ตั้งเป้าไว้อันดับ 1-8 แต่มีความผิดพลาดรายบุคคลเยอะ ทำให้ไม่ได้ตามเป้า น่าจะเก็บแต้มได้มากกว่านี้ มันยังไม่เข้าที่เข้าทาง  ก็ต้องบอกตามตรงว่า เป็นเรื่องปกติของเรา ขึ้นจากดิวิชั่น 2 มาดิวิชั่น  1 จบเลกแรกอยู่อันดับ 9 ทำให้เรารู้แล้วว่า ขาดจุดไหนจึงพยายามหาจุดนั้นมาเสริม ทำให้เราขึ้นเป็นที่ 3 ก้าวขึ้นมาอยู่ไทยลีก เหมือนเลกแรกของลีกสูงสุด เราต้องเรียนรู้เพื่อนำไปปรับปรุงเสริมต้องจุดนั้น มองเป้าเลกสองเหมือนเดิมคือ 1 ใน 8 คิดว่า เราน่าจะทำได้ดีกว่าเดิม

“การทำงานตอนนี้ต้องบอกว่า มีแรงอยู่ เป็นวัยรุ่นที่จะพอวิ่งตามความฝัน เรียกได้ว่าเป็นประธานสโมสรที่อายุน้อยที่สุดในโลก ผมทำทีมโตมาด้วยตัวเอง ไม่มีพ่ออยู่เบื้องหลัง ที่ผ่านมาถามนักฟุตบอลได้ ผมทำเองหมดทุกอย่าง ทั้งขับรถเอง กวาดบ้านถูบ้าน ทำกับข้าวเลี้ยวนักฟุตบอล ช่วงที่เงินไม่ค่อยมีต้องประหยัดทุกอย่าง แม้แต่ค่าอาหารที่ไม่สามารถดูแลนักเตะได้หมดเท่าทีมใหญ่ เราต้องไปจ่ายตลาดตอนเช้าเพื่อเซฟตัวเอง ตอนนี้ขึ้นมาไทยลีกเริ่มหายใจคล่องขึ้นเมื่อมีสปอนเซอร์เข้ามาช่วยสนับสนุนเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น”

มันเป็นความฝันของเด็กหนุ่มวัยเพียง 25 ปีที่บริหารทีมลูกหนังบ้านเกิดขึ้นมาอยู่ในลีกสูงสุดของเมืองไทย แต่ฝันของเขายังไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมีอีกก้าวที่มิตติเตรียมจะเดินต่อตามรอยเท้าผู้พ่อ นั่น คือลงสู่สนามการเมือง เจ้าตัวยอมรับว่า เป็นความฝันอีกอย่าง อันแรก คือทำฟุตบอลสำเร็จมาอยู่ไทยลีกแล้วเหลือแค่วางโครงสร้างวางระบบ ส่วนอีกฝัน คือลงเล่นการเมือง  “ตัวของผมเองในอนาคต คือเล่นการเมืองสนามใหญ่ ลงเป็น ส.ส. ผมเป็นครอบครัวการเมือง โตมาอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะเรามีความซื่อสัตย์กับประชาชนในพื้นที่ เราเป็นครอบครัวที่ทำงานทั้งพ่อและแม่ ทำงานทุกวันกับชาวบ้าน ทำมาตลอด ตัวผมเองก็ซึมซับมาจากตรงนั้น อนาคตก็อยากทำงานตรงนี้เพื่อสานต่อ”

ถามว่า ไม่กลัวเจ็บปวดเหมือนพ่อหรือ มิตติบอกว่า เป็นเรื่องธรรมดา ตอนนี้ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ของประเทศไทยอยู่ในช่วงไม่ปกติ การปกครองต่าง ๆตั้งแต่ปฏิวัติมา ทำให้การเมืองการปกครองของประเทศค่อนข้างเป๋ เปลี่ยนไปเลย ทั้งกฎเกณฑ์ กฎหมายอะไรต่าง ๆ ต้องบอกว่า เลือกปฏิบัติหลาย ๆ อย่าง ตรงนี้ต้องอยู่ที่แฟน ๆ จะวิเคาะห์อย่างไร สถานการณ์ตรงนี้เราเข้าใจ แต่ถ้ามีโอกาสก็คงลง ความจริงการเลือกตั้งเที่ยวล่าสุดนี้ อายุ 25 ปีพอดีสามารถลงได้แล้ว ถ้าลงก็คงเป็น ส.ส.ที่เด็กที่สุดอีก แต่ยังติดอยู่ในเรื่องของการทำทีมฟุตบอลที่ต้องการให้ดีที่สุดก่อน

“เจ้าของเขตเป็นคุณอา อยากให้ลงเพราะอายุเยอะ เหนื่อยแล้ว ผมก็ต้องบอกว่า ทุกคนมีหน้าที่ที่จะทำ ของผมยังทำไม่เสร็จ คิดว่า ถ้าลงไปก็อาจจะมีปัญหาต่อทีมฟุตบอล ทั้งกำลังใจของลูกทีม และส่วนของการหาสปอนเซอร์ก็จะลำบากขึ้น มีการเมืองเข้ามาแทรกแซง เพราะทุกวันนี้เชียงราย ยูไนเต็ดไม่มีภาพของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกคนอาจติดว่า มีคุณพ่ออยู่เบื้องหลัง แต่ถ้าใครมีโอกาสเข้ามาดูในสนามจะเห็นเลยว่า ไม่มีการโฆษณา แม้กระทั่งตัวคุณพ่อ ไม่เคยมาดูเลยตั้งแต่ผมทำทีมฟุตบอลมา แต่จะถามตลอด” ประธานสโมสรกว่างโซ้งมหาภัยยืนยันหนักแน่น

“ ครั้งแรกที่ทำ คุณพ่อจะบอกว่า ต้องเตรียมใจนะว่า ถ้าขึ้นดิวิชั่น 1 ไม่ได้จะทำอย่างไร เราก็เตรียมใจไว้ แต่บังเอิญทำได้ ผมใช้คำพูดตรงนี้มาเป็นพลังให้กับตัวเองที่จะผลักดัน มีพลังในการทำทีมต่อ ตอนขึ้นดิวิชั่น 1 ก็คิดว่า ขอให้อยู่ดิวิชั่น 1 ให้ได้นะ อย่าตก ประคอง ผมก็บอกว่า ถ้ามีโอกาสจะทำให้ขึ้นไทยลีก แล้วก็ทำได้จริง ๆ ความจริงคุณพ่อพูด เพราะไม่อยากให้เราตั้งความหวังไว้สูง กลัวเราจะเสียความรู้สึก แต่ผมก็ทำสำเร็จ มันสบโอกาสพอดี ตอนอยู่ดิวิชั่น 1 เลกแรกที่อยู่อันดับ 9 ผมคิดอยู่ว่า จะแค่ประคอง หรือขึ้นไทยลีกไปเลย นั่งคิดหลายอย่าง ถ้ารอจนถึงปีนี้มันมีหลายทีมที่แข็งมาก เพราะฉะนั้นขึ้นไปก่อนดีกว่ามันจะลำบากน้อยกว่า”

หนุ่มทายาทอดีตนักการเมืองคนดังย้ำว่า คงทีมฟุตบอลเชียงราย ยูไนเต็ดยาว ทำให้เป็นอาชีพมั่นคงจริง ๆ เพราะเวลานี้มีไม่กี่ทีมที่อยู่ได้ เพราะฟุตบอลจริง ๆ แฟนคลับพร้อมสนับสนุนตลอด อย่างเชียงราย ยูไนเต็ด คนเชียงรายถึงแม้กำลังซื้อจะไม่เท่าคนกรุงเทพฯ หรือที่อื่น แต่เวลาเราเซ็ตราคาค่าตั๋ว 80 บาททุกที่นั่ง แฟนคลับไม่เคยบ่น และพร้อมสนับสนุน พวกเขารู้ว่า ถ้ายิ่งมีเงินเยอะมันจะยิ่งทำให้ทีมฟุตบอลแข็งแกร่ง ได้ดูบอลที่มีคุณภาพ อันนี้ คือสิ่งที่โชคดีที่มีแฟนคลับช่วยเราจริงๆ

“ผมภูมิใจมากนะ ต้องบอกว่า ถ้าขับรถในเชียงราย ผ่านไปผ่านมาบนถนน รถส่วนมากจะติดสติกเกอร์เชียงราย ยูไนเต็ด สร้างแบรนด์ติดตลาดแล้ว แฟนคลับรู้จักกันมากขึ้น ใครก็ตามที่ไปดูฟุตบอลในสนามเวลากลับออกมามีเพื่อนแน่นอน มันเป็นครอบครัวใหญ่ ประกอบกับทีมฟุตบอลเชียงราย ยูไนเต็ดไม่ได้สร้างขึ้นมาจากการเมือง ไม่ได้เป็นคนที่มาแล้วมีเงินมาทำ แต่จะมาสร้างให้กองเชียร์เดินไปด้วยกัน เหมือนในต่างประเทศที่ทีมฟุตบอลสร้างขึ้นมาจากชาวบ้านช่วยกันก่ออิฐก่อปูนก่อสร้างสนามแข่ง เชียงรายก็เป็นแนวเดียวกัน แต่อาจไม่ถึงลงมือทำสนาม เป็นการร่วมบริจาคมาทำกิจกรรมมากกว่า”

แม้ในเลกสองของศึกสปอนเซอร์ไทยพรีเมียร์ลีก เชียงราย ยูไนเต็ด จำเป็นต้องเปลี่ยนสนามแข่งย้ายรังเหย้าไปอยู่สนาม 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้กระทบกระเทือนต่อแฟนคลับพอสมควร มิตติยอมรับสภาพว่า เป็นเรื่องที่แฟนคลับไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องบอกว่าเสียใจที่ทีมบ้านเกิดไม่ได้แข่งที่บ้านเกิด แต่พวกเขาก็เข้าใจ เพราะเรายังไม่มีสนาม “ผมจึงหวังจะสร้างแคมเปญสร้างสปิริตให้คนล้านนากลับมาอีกครั้ง ใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส ผมต้องการสร้างครอบครัวล้านนาให้มันยิ่งใหญ่ และอบอุ่นขึ้น 700 กว่าปีที่อาณาจักรล้านนาล่มสลายไปเรากำลังให้มันกลับมา แต่เป็นครอบครัว สมมติเชียงราย ยูไนเต็ดไปแข่งที่กรุงเทพฯ คนล้านนาที่อยู่กรุงเทพฯก็จะมาช่วยกันเชียร์เชียงราย”

“ผมวางเป้าทุกวันนี้ การทำฟุตบอลอยู่ที่เงิน เชียงราย ยูไนเต็ดเพิ่งขึ้นมา สปอนเซอร์อาจต้องรอดูว่าจะอยู่ในไทยลีกได้หรือไม่ ผมแค่อยากขอโอกาสจากสปอนเซอร์ที่มีผู้ใหญ่ใจดี อยากลองกันดูสักตั้ง ผมพร้อมพิสูจน์ฝีมือให้เห็น ถ้าผมมีอย่างที่ทีมอื่นมี ผมคิดว่า ผมก็ไม่แพ้ทีมอื่น เพราะการบริหารจัดการตอนนี้พร้อม” มิตติบอกอย่างมั่นใจ

ทั้งนี้ มิตติยังยอมรับด้วยว่า ก่อนหน้านั้นครอบครัวก็มีปัญหารุมเร้า ช่วงมีปัญหาเมื่อปี 49 หลังวันปฏิวัติโค่นอำนาจรัฐบาลนายกฯทักษิณ มีทหารมาทุบบ้าน ค้นข้าวค้นของไปหมด พวกเราอยู่กันลำบาก “วันนั้นผมคิดอะไรไม่รู้ ออกจากบ้านไป 2 ชั่วโมง มีทหารเข้ามาค้นบ้าน คนที่อยู่ในบ้านโดนจับมัดใส่กระสอบเอาไปทิ้งข้างทาง เรารับไม่ได้ มันเกินไป โลกเดี๋ยวนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว คนที่อยู่บ้านผม บางคนเป็นตำรวจ พอจบเรื่องนี้ก็โดนย้ายไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วก็ถูกยิงตาย สงสารลูกเมียเขานะ อันนี้ คือสิ่งที่ผมบอกว่ามันไม่ปกติ มีผลกระทบตามมา ตลอดทั้งปี คุณพ่ออยู่เมืองไทยไม่ได้ ต้องอยู่ต่างประเทศ ตัวผมต้องมาคอยดูแล ครอบครัวแยกกันอยู่ เมื่อคุณพ่อถูกไล่ล่า ผมต้องดูแลน้องสาวที่เรียนอยู่ 2 คน เป็นหัวหน้าครอบครัวแทน”

“ผมรู้สึกว่า เรียกร้องความเป็นธรรมจากใครไม่ได้ ทุกอย่างอยู่ในมือของ คมช. เรารู้ตัวอยู่แล้ว ทำอะไรไม่ได้ แค่ต้องอยู่ให้ได้เท่านั้นเอง โชคดีที่มาทำทีมฟุตบอลแล้วไม่โดนรังแก  ผมคิดว่า เรื่องกีฬาต้องแยกออกจากการเมือง ที่ผ่านมายังไม่มีผลกระทบ และค่อนข่างเปิดกว้างให้แฟนคลับเข้าใจช่วยกันสนับสนุน ผมไม่ได้มาจากการเมือง ผมมาจากที่ผมบ้าบอล ตอนไปเรียนนิวซีแลนด์ ทีแรกก็เลือกจะไปอยู่อิตาลี ทว่าคุณพ่อบอกกลัวไม่ได้ภาษา ผมอยากไปดูบอลอิตาลี ตอนหลังก็แวะไปชมบอลบ่อย เอาข้อดีของแต่ละสโมสรมาทำ ดูการบริหารจัดหารเอาตรงนั้นมาปรับเข้ากับสโมสรเราเท่าที่จะทำได้” เด็กหนุ่มส่งท้าย

RELATED ARTICLES