ครูสาวกับเรื่องราวชีวิตรักกับนายตำรวจหนุ่มที่ไม่ธรรมดา
“โมน่า” พ.ต.ท.หญิง อชิตา ตาครู อาจารย์ (สบ 3) ทำหน้าที่วิชาทั่วไป กลุ่มงานอาจารย์ ศูนย์ฝึกอบรมกลางกองบัญชาการศึกษา ภรรยา พ.ต.อ.จิรกฤต จารุนภัทร์ ผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาล 5 นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 54
เธอเป็นลูกครึ่งไทย-อินเดีย ทายาทอดีตนายกสมาคมหอการค้าไทย-อินเดีย นักธุรกิจส่งออกเสื้อผ้าและอสังหาริมทรัพย์ จบปริญญาตรีรัฐศาสตร์เอกการทูต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทสาขายุโรปศึกษาที่รั้วจามจุรีด้วยอีกใบ พลิกผันเป็นนักข่าวสังกัด เกียวโดนิวส์ ของสำนักข่าวแดนปลาดิบ ระหว่างรอทำวิทยานิพนธ์ส่งในมหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษ ด้วยการลงสนามเกาะสถานการณ์ประเทศลาวและสมรภูมิ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้พักหนึ่ง
สุดท้ายพ่อไม่ค่อยพอใจ อยากให้ลาออกมาช่วยทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์เป็นอพาร์ตเมนต์ใจกลางย่านเอกมัย ทำไปทำมาแม่ผลักดันให้เข้ารับราชการเป็นอาจารย์สังกัดกองบัญชาการศึกษา ก้าวสู่เครื่องแบบสีกากีไปอยู่ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจกลาง ตั้งแต่ยศ ร.ต.ต.ไต่มาจนถึง พ.ต.ท. เกือบตัดสินใจลาออกหลายครั้ง แต่เหมือนกับว่า มาเป็นแล้วต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
“โมน่าอยากให้ตำรวจไทยก้าวหน้า พยายามบอกลูกศิษย์ว่า คุณจะเป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศ แต่ที่ผ่านมา ปัญหา คือ ภาษาอังกฤษ ตำรวจไม่ให้ความสำคัญ เหมือนโรงเรียนไทยเน้นแต่การเรียนในหนังสือ หรือทฤษฎี ไม่เหมือนโรงเรียนนานาชาติที่เน้นปฏิบัติ พอเรียนกันก็เหมือนเก่งแต่ในหนังสือ ไม่เคยเรียนปฏิบัติเลย ความเป็นจริงเราไม่เคยได้ทดลองอะไร ไม่เคยได้คุยกับฝรั่ง อย่างนี้มันจะมีวันที่ไปที่ไหนได้ มีแต่ความจำ แต่ไม่ได้ใช้ เก่งแต่ทฤษฎี” เธอพยายามปรับเปลี่ยนให้ตำรวจตามทันโลก มีความสุขที่ได้ทำหน้าที่ครูสร้างแม่พิมพ์ตำรวจรุ่นใหม่ให้เกิดความมั่นใจเวลาสื่อสารกับชาวต่างชาติ
ย้อนกลับไปที่เรื่องราวความรักระหว่างเธอกับสามีเสมือนโชคชะตาลิขิตให้เป็นเนื้อคู่กัน พันตำรวจโทหญิงเล่าว่า เริ่มต้นเมื่อตอนตัวเองยังเป็นนายสิบตำรวจระหว่างรอบรรจุตำแหน่งรองสารวัตรถูกผู้ใหญ่เรียกไปช่วยเป็นล่ามในหลักสูตรต่อต้านการก่อการร้ายที่มีเจ้าหน้าที่จากสหรัฐอเมริกามาฝึกอบรมตำรวจไทยที่จังหวัดชลบุรี เขาเป็น ร.ต.ท.ลงไปทำงานอยู่ภาคใต้มีชื่อเข้ารับการฝึกอบรมด้วย
“ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ เพราะคนเยอะมาก กระทั่งวันสุดท้ายเขาบอกว่า เราแต่งตัวไม่เหมือนตำรวจทั่วไป ใส่รองเท้าสีส้มแป๊ด เขาเข้ามาคุยด้วย มาถามจี้ที่คอเป็นภาษาอินเดีย คุณพ่อให้โมน่ามาเป็นชื่อของเรา เขาถามโน่นถามนี่ ก็ แต่ก็แค่ทำความรู้จัก หลังจากนั้นแทบไม่ได้คุยกันอีกเลย เพราะว่า เขาก็มีแฟน เราก็มีแฟนอยู่แล้ว”
ห่างหายกันไปนาน 2 ปี เจอกันอีกทีตอนฝ่ายเข้ามาอบรมหลักสูตรสารวัตรที่กองบัญชาการศึกษา ก่อนหน้าติดต่อมาบ้างไหว้วานให้ช่วยเหลือเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนร่วมรุ่นนายร้อยตำรวจ พอมาอบรมก็กลายเป็นว่า เริ่มกลับมาพูดคุยกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน เคมีตรงกันเรื่องที่ทั้งคู่ต่างเป็นคนชอบออกกำลังกายพากันไปเล่นกีฬา สานต่อความสัมพันธ์เกือบปี ประจวบเหมาะต่างคนต่างไม่มีใครพอดี
อาจารย์สาวบอกว่า เขาเป็นคนชอบขี่มอเตอร์ไซค์ เราก็ชอบอะไรแบบนั้นด้วย ชวนไปกันขี่มอเตอร์ไซค์เท่าสนุก จากที่ไปกันเป็นกลุ่มหลาย ๆ คน บางคนว่าง บางคนไม่ว่าง สุดท้ายเหลือแค่ 2 คน ตะลอนไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ่ายรูปกันตอนกลางคืน ชอบของเก่าเหมือนกัน เที่ยววังเก่า ทำให้เกิดความสนิทสนมเรื่อยมาเลยตัดสินใจลองคบกัน
“จริง ๆ ไม่ได้พูดหรอกนะว่า คบกัน เพราะต่างโตกันแล้ว ไม่ต้องบอกว่า ฉันกับเธอเป็นแฟนกันนะ อะไรแบบนี้ ส่วนคุณพ่อโมน่าก็ไม่ว่า ชอบด้วยซ้ำ เห็นเขาเป็นคนรับผิดชอบสูง ทั้งที่จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่สเปคโมน่าด้วยซ้ำ” เจ้าตัวหัวเราะ “โมน่าชอบผู้ชายตัวสูง บอกเขาประจำว่า โมน่าชอบฝรั่งนะ ไม่ตรงกับเขาสักนิดเดียว แต่เหมือนว่า สไตล์เดียวกัน ไปไหนไปกัน คุยกันรู้เรื่อง แม้ตัวเขาจะเป็นคนบ้างาน ทำงานหนักมากจะมีเวลาให้เราอาทิตย์ละครั้งสองครั้งเท่านั้น เจอกันก็จะไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์ เช่น ทำบุญ เที่ยวดูของโบราณ ไม่ก็ไปออกกำลังกาย”
เธอว่า ตัดสินใจเลือกเขา เพราะเราเป็นตำรวจ แต่ไม่ชอบสไตล์ตำรวจ ตรงกับตัวเขาที่ไม่เหมือนตำรวจ ไม่ชอบแต่งเครื่องแบบ เหมือนวัยรุ่น เวลาไปเที่ยวด้วยกันแล้วดูเป็นคนธรรมดาไม่ได้บ้าอำนาจ หรือเป็นคนกร่าง
ที่สุดฝ่ายชายทำเซอร์ไพรส์กลางเวหาระหว่างไปเรียนหลักสูตรกระโดดร่มที่ค่ายนเรศวร อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี พ.ต.ท.หญิง อชิตาประทับใจไม่ลืมว่า คบกันกว่า 2 ปี ไม่มีทีท่าจะพูดเรื่องแต่งงาน ทั้งที่ต่างคนอายุเยอะกันแล้ว ยอมรับว่า ไม่คิดตัวจะได้แต่งงานเหมือนกัน จนวันสุดท้ายจะจบหลักสูตรเขาโทรมาบอกให้ช่วยไปถ่ายวีดีให้ด้วย อ้างเป็นกระโดดร่มท่าพิเศษเป็นเรื่องเป็นราว ปรากฏว่า คนอื่นกระโดดลงมาหมดแล้ว แต่ไม่เห็นเขาลงมาเสียที
“อยู่ดี ๆ เขาลงมาเป็นคนสุดท้าย ผูกธงผืนใหญ่เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Will You Marry Me คนข้างล่างกรี๊ดกันดัง แต่โมน่ากลับสายตาสั้น มองไม่เห็น กระทั่งเพื่อนมาสะกิดนั่น ๆ ไงเขา ทำเอาโมน่าตกใจ ลืมถ่ายวีดีโอไปเลย พอลงถึงพื้นเขาถามย้ำว่า จะแต่งกันกับเขาไหม อารามตกใจโมน่าไม่ตอบอะไร วิ่งไปในรถ โทรศัพท์บอกที่บ้านว่า เขาขอแต่งงาน ที่บ้านต่างดีใจบอกเฮ้ย มันเหมาะสมแล้ว”
หลังจากนั้นผ่านไปได้สักพัก มีการทำพิธีหมั้นแบบอินเดีย ก่อนจะแต่งงานแบบไทย และอินเดีย จัดงาน 5 วัน เพราะแบบอินเดีย พิธีการจะเยอะอยู่แล้ว แต่ครอบครัวทั้งสองฝ่ายไม่มีปัญหา ตั้งแต่แต่งงานเป็นครอบครัวเดียวกัน อาจารย์สาวสารภาพว่า ชีวิตเปลี่ยนไป ตอนคบกัน 2 ปี ช่วงนั้นแทบไม่รอด ไม่มีเวลา ด้วยความที่เขาบ้างาน ทิ้งเราทุกที่ สามารถให้เราแท็กซี่กลับบ้านเองได้ นั่งดูหนังในโรงหนังบางครั้งยังทิ้งกันเฉย เขาจะรับโทรศัพท์จากนายตลอดเวลา นัดอะไรล่มเกือบทุกครั้ง เพราะงานเข้าตลอด ช่วงนั้นเขาเป็นนายเวรด้วย แต่เราเป็นตำรวจทำให้เข้าใจตำรวจด้วยกัน พอจะรับได้
ทั้งคู่มีพยานรักด้วยกัน 2 คน คือ น้องไมก้า–ปัญจพัฒน์ ตาครู จารุนภัทร์ และ น้องมิเคล–ปริญญ์พงษ์ ตาครู จารุนภัทร์ ฝ่ายหญิงรับว่า ช่วงแรกตอนมีลูกหนักมาก เพราะไม่คนช่วยดู เขาต้องส่งแม่มาแทน ยิ่งตอนท้อง เขาอยู่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองต้องเข้าเวร เรานอนคนเดียวก็จะมีอาการหงุดหงิดตามสไตล์คนท้อง พอคลอด เขาย้ายมาอยู่สืบสวนทองหล่อ คราวนี้หายตัวไปเลย
“เคยคุยกับเขาตรง ๆ ว่า มีลูกแล้ว คุณทำอย่างนี้ไม่ได้ เขาก็บอกว่า เขาทำให้เราไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นอาชีพของเขา เขาจะพูดตลอดว่า ถ้าเขาไม่ทำ แล้วใครจะทำ ไม่มีคนจะทำแล้วนะ โมน่าก็ได้ถามว่า ตำรวจมีตั้งเยอะ ทำไมต้องเขาคนเดียว เขาบอกว่า เขาบังคับคนอื่นไม่ได้ ทำให้เราทะเลาะกับเขาเรื่องนี้ตลอดเวลา เหมือนบางทีโมน่าก็งี่เง่าใส่เขา” ภรรยาสาวนายตำรวจหนุ่มสะท้อนชีวิตครอบครัวนักสืบ
เจ้าตัวบอกว่า เวลาแสดงอาการงอแง สามีจะพยายามใช้หลักจิตวิทยาให้เรายอมว่า ในขณะที่เธอนั่งกินข้าวอย่างมีความสุข คนอื่นอาจโดนข่มขืน ลูกของใครก็ไม่รู้โดนข่มขืน แล้วก็ต้องมาหาตัวคนที่ข่มขืนเหยื่อที่ตายอยู่ข้างทาง เป็นอย่างนี้ทุกที “เพราะฉะนั้น เราจะประคองชีวิตคู่ได้ คือ ต้องทำใจกว้างมาก ทำใจมาตลอดระยะเวลาที่แต่งงานมา 10 ปี ตอนนี้เหมือนโมน่าเป็นหัวหน้าครอบครัว ตัดสินใจทุกอย่าง ถ้าเป็นเรื่องในบ้าน หรือเรื่องอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับตำรวจ ตัดสินใจเองทุกอย่าง เพราะรอเขาไม่ได้”
ถึงกระนั้นก็ตาม เธอเล่าว่า สามีจะมีเวลาอยู่กับลูกเสมอ พยายามปลูกฝังความเป็นตำรวจให้ลูก และสอนให้ลูกรู้ว่า พ่อมีอาชีพที่ต้องรับผิดชอบ กลายเป็นว่า ลูกทั้งสองจะเข้าใจพ่อมากกว่าแม่ด้วยซ้ำ เขาจะแพ้ลูก จะไป ๆ มา ๆ ออกไปตอนดึก บางทีกลับมากินข้าวเย็นกับลูกแล้วออกไปทำงานต่อ พยายามให้ลูกเห็นจนเราไม่กล้าว่าเขา ถ้าเขาไม่เป็นคนแบบนี้ อาจจะรู้สึกโกรธเขา
อาจารย์หญิงกองบัญชาการศึกษาอดกังวลไม่ได้เหมือนกันเมื่อเห็นสภาพร่างกายสามีแย่ลงจากการทำงาน พักผ่อนน้อยจนเป็นภูมิแพ้ แพทย์ยังเตือนว่า เขาใช้ชีวิตผิด แต่เขาแก้ไม่ได้แล้ว หายใจไม่ค่อยได้ มีปัญหาเกี่ยวกับการกิน ระบบกระเพาะอาหารผิดปกติหมด เพราะบางทีไม่ได้กินข้าวทั้งวัน แม่บ้านสาวคู่ชีวิตเคยเตือนเหมือนกันว่า ทำไมพอทำงานหนักแล้วไม่พักผ่อนด้วยการอยู่บ้านนอนเฉย ๆ สามีสารภาพว่า เขาเครียด ไอ้การที่ทำพิสดารของเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการขับเครื่องบิน หรือกระโดดร่มเสี่ยงตาย คือ การระบายความเครียดของเขา
“สามีเคยไปขี่มอเตอร์ไซค์แบบโร้ดทริป ไปยิงปืน แต่สุดท้ายเขาบอกว่า มันไม่มีอะไรที่เหมือนกับการกระโดดร่มกับการขับเครื่องบินอยู่บนท้องฟ้า ไม่งั้นเขาจะเครียดมาก เขาเป็นคนที่เครียดมากแบบมากจริง ๆ แต่เขาจะไม่มาใส่ในครอบครัว เพราะสิ่งที่ไปเจอมา เขาบอกว่า โลกมันโหดร้ายกว่าที่พวกเรารู้เยอะ ทำให้เขามองโลกอีกแบบ และบอกว่า โมน่าอยู่ในโลกที่สวยมาก แต่เขาอยู่ในโลกอีกอย่าง เป็นโลกที่โหดร้ายบางทีเขานอนไม่หลับตอนกลางคืน เพราะไปเจอเรื่องที่หดหู่ แล้วเขาทำอะไรไม่ได้”
ทุกวันนี้อาจารย์สาวต้องคอยเป็นกำลังใจและประคับประคองกันไปด้วยความเป็นสุขภาพสามีและเรื่องอื่น ๆ ของเขา อย่างน้อยนายตำรวจหนุ่มก็ทำแต่งาน ไม่ได้ไปนอกลู่นอกทางที่ไหน “เหมือนกับว่า เราสองคน ลงเรือลำเดียวกันแล้ว” เธอทิ้งท้าย