ล่องเรือข้ามทะเล สัมผัสเกาะสีชัง ความสุขที่สรรหาได้ในวันเดียว

 

ถ้าคิดจะหาแหล่งท่องเที่ยวสบายๆในวันหยุดสุดสัปดาห์ และช่วงอากาศดีๆไม่ร้อนมาก เราควรจะไปไหนกันดี

ว่าแล้วเกาะสีชัง ก็คือ คำตอบ ด้วยเหตุผลที่ว่า สถานที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ สามารถเดินทางแบบสบาย ไป-กลับได้ภายในวันเดียวด้วยระยะทางเพียงแค่ 117 กิโลเมตรจากเมืองหลวง

ประวัติความเป็นมาของเกาะสีชังที่เรารับรู้กันนั้น ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ ทรงมีพระอาการประชวร แพทย์หลวงได้ถวายคำแนะนำให้พักรักษาตัวที่เกาะสีชัง รัชกาลที่ 5 ทรงมีความห่วงใยก็เสด็จไปทรงอภิบาลพระราชโอรสด้วยพระองค์เองเป็นการประจำเช่นกัน ต่อมา ปี พ.ศ.2431 ทรงได้สร้างเรือนสามหลังขึ้นจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ สำหรับเป็นที่พักฟื้นผู้ป่วย ได้แก่ เรือนวัฒนา เรือนผ่องศรี และเรือนอภิรมย์ กระทั่ง พ.ศ.2435 ได้โปรดเกล้าให้สร้างพระราชฐานขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับเพื่อแปรพระราชฐานในฤดูร้อน พระราชทานนามว่า “จุฑาธุชราชฐาน” ตามพระนามของพระเจ้าลูกยาเธอที่ประสูติที่เกาะสีชัง เมื่อ 5 กรกฎาคม 2435 เมื่อสร้างพระราชฐานแล้วก็โปรดให้สร้าง ถนน ท่าเรือ บ่อน้ำจืด โรงเรียน สวนสาธารณะ และที่ทำการไปรษณีย์

เมื่อได้คำตอบแล้ว เราก็เริ่มออกเดินทางแบบไม่ต้องรีบร้อนโดยขับรถออกจากกรุงเทพฯตอน 9 โมงเช้ามุ่งหน้าไปเกาะสีชัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ใช้ถนนบางนา-ตราด ทางหลวงหมายเลข 34 เข้าสู่ชลบุรี มุ่งหน้าไปเกาะลอย สถานที่ที่มีร้านอาหารริมทะเลมากมายและที่จอดรถ รวมถึงท่าเรือที่จะข้ามไปเกาะสีชัง พวกเรามาถึงท่าเรือก็เกือบเที่ยงแล้ว เพราะระหว่างทางก็แวะทานข้าวมาเรียบร้อย บอกแล้วว่า ทริปนี้ชิลล์มากไม่ต้องรีบค่ะ พอมาถึงท่าเรือก็ซื้อตั๋ว ค่าโดยสารเรือจากเกาะลอยข้ามไปเกาะสีชังคนละ 40 บาท เรือออกทุกชั่วโมงตั้งแต่ 07.00-18.00 น. แต่บางครั้งเรืออาจออกก่อนถ้าผู้โดยสารเต็มลำแล้ว เรือข้ามไปเกาะสีชังจะเป็นเรือ 2 ชั้น เรือแต่ละลำจะมีลักษณะไม่เหมือนกัน แต่ขอแนะนำให้เลือกนั่งชั้นที่ 2 เพราะลมเย็น และเห็นวิวทะเลสวยๆ สร้างบรรยากาศแสนโรแมนติกสำหรับคู่รักใหม่

ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็ถึงท่าเรือเกาะสีชังแล้วค่ะ พอขึ้นฝั่งปุ๊ปก็จะมีไกด์ท้องถิ่นดาหน้ากันเข้ามาเสนอราคานำเที่ยวบนเกาะ รถที่นำเที่ยวจะเป็นรถสกายแลป รถโดยสารรับจ้างบนเกาะสีชังซึ่งดูน่าสนุก และควรลองใช้บริการ ราคาค่าโดยสารก็ไม่แพง คือ เหมาเที่ยวรอบเกาะ 250 บาทนั่งได้ 6 คน ไม่จำกัดเวลาด้วย อยากแวะที่ไหนนานหน่อยก็ได้ และไกด์ ก็คือ พี่คนขับนั่นเองค่ะ เขาขับรถพาเที่ยวตามจุดต่างๆพร้อมอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของแหล่งท่องเที่ยวในเกาะสีชัง

จุดแรกที่นักท่องเที่ยวต้องไปตามตารางที่ไกด์สกายแลปจัดให้ คือ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่  ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่นั้นอยู่ในถ้ำด้านบนของเขาคยาศิระ ต้องขึ้นบันไดไป 150 กว่าขั้น เป็นอาคารขนาดใหญ่ลักษณะวิหารจีน ภายในเป็นที่ประดิษฐานเจ้าพ่อเห้งเจีย ศาลเจ้าแม่กวนอิม วิหารพระสังกัจจายน์  มีชาวจีนโดยเฉพาะชาวจีนมาเลเซียมาสักการะกันมาก เพราะมีความเชื่อว่า จะทำให้กิจการรุ่งเรือง ถ้าเรามองวิวจากด้านบนจะมองเห็นท่าเรือ และบ้านเรือนของชาวเกาะสีชังได้อย่างชัดเจน สวยถูกใจมากค่ะ

เราใช้เวลาที่นี่ประมาณเกือบชั่วโมง พี่ไกด์ก็ซิ่งรถสกายแลปพาไปแหล่งท่องเที่ยวที่สอง นั่นก็คือช่องอิศริยาภรณ์ หรือช่องเขาขาด ขอบอกว่า ที่นี่สวยมากเป็นสถานที่นักท่องเที่ยวต้องไม่พลาด ช่องเขาขาดนั้นจะอยู่ทางด้านหลังของเกาะ มีลักษณะเป็นช่องเขาที่ขาดออกจากกันเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกของเกาะสีชัง ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับชมทิวทัศน์ของรัชกาลที่ 5 ด้านล่างของช่องเขาขาดจะเป็นหาดหินกลม เหตุที่มีชื่อนี้ เพราะเต็มไปด้วยหินกลมๆมากมาย หาดนี้ไม่สามารถเล่นน้ำได้ แต่เราสามารถเดินชมวิวได้โดยจะมีสะพานวชิราวุธข้ามไปยังด้านริมของเกาะ หลังจากเก็บรูปจนพอใจแล้วเราก็เดินทางต่อไปยัง พระจุฑาธุชราชฐาน สถานที่ไฮไลต์ของเกาะสีชัง

พระจุฑาธุชราชฐานเป็นพระราชวังฤดูร้อนในสมัยรัชกาลที่ 5 และเป็นพระราชวังบนเกาะแห่งเดียวในประเทศไทย ตั้งอยู่บริเวณแหลมวังทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะสีชัง มีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่บนเนินเขาที่สูงต่ำลดหลั่นกัน ประกอบไปด้วยพระที่นั่ง 4 หลัง ศาลา 1 หลัง มีสวนดอกไม้ สระน้ำ ธารน้ำ น้ำพุและถ้ำ ปัจจุบันจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ โบราณสถาน และสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์

ทีมนางฟ้าใช้เวลาที่นี่ค่อนข้างนาน เพราะเมื่อมาถึงที่หน้าพระราชวังจะมีนักเรียนอาสาสมัครเป็นไกด์พานักท่องเที่ยวเดินชมรอบเขตพระราชวัง ทิ้งโชเฟอร์สกายแลปรออยู่ด้านหน้า น้องไกด์พาเราเดินไปสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 และเดินขึ้นไปชมความงามของพระเจดีย์อุโบสถวัดอัษฎางคนิมิตร ตัวพระอุโบสถเป็นอาคารรูปทรงกลมมีเจดีย์ทรงลังกาซ้อนอยู่ด้านบน การตกแต่งภายในเป็นแบบศิลปะโกธิก คือ ประตู หน้าต่างเป็นรูปโค้งยอดแหลม ช่องแสงประดับด้วยกระจกสีเป็นลวดลาย หน้าพระอุโบสถมีต้นศรีมหาโพธิ์ที่รัชกาลที่ 5 ทรงปลูก จากนั้นก็เดินชมเรือนพระที่นั่งต่างๆรอบอุทยาน พื้นที่ภายในอุทยานนั้นเต็มไปด้วยต้นลีลาวดี บรรยากาศรอบๆสวยงามมาก น้ำทะเลใส ชายหาดสวย และสิ่งที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องแวะถ่ายรูปคือ สะพานอัษฎางค์ สะพานสีขาวที่ทอดยาวไปในทะเล และเราสังเกตเห็นว่า มีคู่บ่าวสาวหลายคู่มาเลือกสถานที่นี้ในการถ่ายรูปวิวาห์

พอเดินชมความงามของพระราชวังแล้ว น้องไกด์ที่เป็นนักเรียนก็ส่งมอบหน้าที่คืนให้กับพี่ไกด์สกายแลป โดยสถานที่สุดท้ายในการเหมาสกายแลปเที่ยวรอบเกาะสีชังคือ อ่าวอัษฎางค์ (ชื่อจะคล้ายกับสะพานอัษฎางค์ในพระราชวังแต่เป็นคนละสถานที่) หรือหาดถ้ำพัง เป็นชายหาดที่มีทรายขาวมีนักท่องเที่ยวมาเล่นน้ำที่นี่กันมาก ทางที่จะไปหาดถ้าพังนี้ คดเคี้ยว แต่ไม่ลำบากเกินที่สกายแลปจะพาเราไป ก่อนที่ไกด์สกายแลปพาพวกเราไปส่งที่ท่าเรือใช้เวลาบนเกาะแบบสบาย ๆ ทั้งหมด 4 ชั่วโมง ที่ท่าเรือเกาะสีชังมีเรือให้บริการกลับไปเกาะลอยถึง 6 โมงเย็น พวกเราได้ขึ้นเรือรอบ 5 โมงเย็นเพื่อกลับเกาะลอยพร้อมเดินทางกลับกรุงเทพฯแบบสบายใจ

เพียงวันเดียวเราก็สามารถสัมผัสทะเลสวย ชมบรรยากาศร่มรื่นของเกาะสีชัง  ค่าใช้จ่ายก็ไม่มากเหมาะสำหรับผู้ที่อยากเที่ยวทะเลแบบประหยัดไม่ต้องขับรถไกล ขอแนะนำให้มาสูดโอโซนชมทะเลสวยพร้อมชมแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่เกาะสีชังนะคะ

 

 

 

 

RELATED ARTICLES