“พอเราเป็นครอบครัวจะไม่มีความเป็นของเธอ ของฉันแล้ว ทุกอย่างมัน คือ ของเรา”

 

าวนักสืบสวนสอบสวนชำนาญการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

 คุณติ๊กศิริรัตน์ รัตนมงคลศักดิ์ ภรรยา ...ณัฐพล รัตนมงคลศักดิ์ รองผู้กำกับการ 1กองบังคับการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 61 ชาวอำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ หลังจบมัธยมปลายโรงเรียนสตรีนครสวรรค์ มุ่งเข้าสู่รั้วโดมเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ความตั้งใจในวัยเด็ก เธออยากทำอาชีพเกี่ยวกับการได้เดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่า ต้องเป็นแอร์โอสเตส เนื่องจากไม่มั่นใจว่า หน้าตาดีพอ หากเลือกเป็นนักการทูตยังพอมีความหวัง สุดท้ายคิดไปคิดว่า ถ้าเลือกเรียนรัฐศาสตร์การทูต เรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะจำกัดไปหน่อยในการจะเลือกอาชีพทำในอนาคต ถึงเบนเข็มไปลงเรียนคณะนิติศาสตร์

ใฝ่ฝันอยากเรียนธรรมศาสตร์มาตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในเรื่องกฎหมาย ประกอบกับโชคดีที่สอบครงได้คณะนิติศาสตร์พอดี เธอว่า สำเร็จปริญญาตรีคว้าเกียรตินิยมอันดับ 2 แล้วเรียนต่อปริญญาโทกฎหมายระหว่างประเทศที่สถาบันเดิม ระหว่างได้งานทำที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

คุณติ๊กเล่าว่า เป็นช่วงที่ต้นสังกัดเปิดรับสมัครบุคลากรที่จบเกียรตินิยมมาโดยเฉพาะ เป็นรุ่นสุดท้ายที่เปิดรับภายในไม่ต้องสอบ สมัยท่านยุทธบูล ดิสสะมาน เพื่อนโทรศัพท์มาบอกว่า สนใจไหม จำได้ว่าเป็นวันประกาศรับสมัครครบกำหนดวันสุดท้ายแล้ว ปิดยื่นรับสมัครตอนเวลาบ่ายสี่โมงครึ่ง ไปยื่นเสร็จแล้วเรียกนัดสัมภาษณ์ ก่อนบรรจุเข้าทำงานตำแหน่งนักสืบสวนปฏิบัติการ กองตรวจสอบ

เจ้าตัวยอมรับว่า ตอนนั้นแทบไม่รู้หน้างานอะไรเท่าไหร่ มองว่าอาจเป็นนักสืบคล้ายกรมสอบสวนคดีพิเศษ ความรู้เกี่ยวกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินน้อยมาก กรมสอบสวนคดีพิเศษจะดังมากช่วงนั้นจึงฝังใจอยากไปอยู่ เพราะมีรุ่นพี่ธรรมศาสตร์สอบเนติบัณฑิตสภาได้เข้าไปทำงานบอกไว้ เราก็หูผึ่ง ไม่คิดว่าจะมาสมัครเข้าที่นี่

กว่า 15 ปีในเครื่องแบบสีกรมท่า เธอเริ่มต้นจากหน้างานเอกสารเกี่ยวกับตรวจสอบสอบทรัพย์สินเพื่อไปยึดอายัดทรัพย์ เกี่ยวกับคดีทั่วไปตามความผิดมูลฐานทั้งหมด หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ ได้ย้ายมาอยู่กองภารกิจพิเศษรับแต่คดีนโยบาย คดีสำคัญ คดีจากต่างประเทศเป็นหลัก กระทั่งได้ทุนจากรัฐบาลจีนไปเรียนภาษา กลับมาย้ายไปอยู่กองความร่วมมือระหว่างประเทศจนถึงปัจจุบัน

เพราะหน้างานกฎหมายระหว่างประเทศนี่เองทำให้เธอกับสามีมาเจอกันในสนาม เมื่อครั้งถูกส่งไปอบรมหลักสูตรของสถาบันฝึกอบรมระหว่างประเทศว่าด้วยการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กรุงเทพมหานคร (International Law Enforcement Academy Bangkok – ILEA) แม้เป็นคนละหลักสูตรไปตรงกัน แต่ต้องพักอยู่สถานที่เดียวกัน

ปรากฏว่า ฝ่ายชายขณะนั้นเป็นรองสารวัตรอยู่กองบังคับการปราบปรามเข้ามาทักทายด้วยเพราะเคยให้ในหน้างานยึดทรัพย์เครือข่ายผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ตัวเขาเกาะติดแก๊งเหล่านี้อยู่ ทว่าไม่เคยประสานงานกันจึงถือโอกาสเข้าไปทำความรู้จัก

เข้ามาทักตอนแรกรู้สึกงง รู้ได้ยังไงว่า อยู่ปราบปรามการฟอกเงิน ถามว่า ชอบตำรวจไหม เฉย ๆ นะ ลึก ๆ กลัวด้วย เพราะกิตติศัพท์ดังมากในเรื่องเจ้าชู้ แต่สำหรับเขามาดี อ้างเรื่องงาน รู้จักกันไหวเผื่อจะประสานเกี่ยวกับเคสยาเสพติด ถึงกระนั้นติ๊กพยายามอธิบายไปว่า ตัวเองอยู่กองความร่วมมือระหว่างประเทศนะไม่น่าจะเกี่ยวกัน มีพี่อีกคนทำหน้าตรงนี้จะดีกว่า

เจ้าหน้าที่สืบสวนหญิงต่างหน่วยงานเล่าต่อว่า เขาขอเบอร์พี่คนนั้นไป แต่ไม่วายขอเบอร์เราไว้ด้วย จากนั้นก็เริ่มส่งไลน์มาคุยกัน ไม่ได้คุยเรื่องงานแล้ว ทั้งที่ดูเขาจริงจังกับงานมาก เหมือนว่าจะมาจีบ มีชวนไปกินข้าว ดูหนัง กินกาแฟ รู้สึกนอนไม่หลับไปเลย ผู้ชายอะไรชวนไปกินกาแฟตอนเย็น กระทั่งสานสัมพันธ์พากันไปเจอพ่อแม่เรา ผู้ใหญ่ไม่ได้ว่าอะไร คิดว่าแล้วแต่เรา

แต่เขาจะบอกตลอดตอนคบกันแล้วแบบติดตลกว่า เป็นแฟนตำรวจต้องอดทนนะ สิบล้อชนต้องยิ้มได้ ติ๊กยังคิดว่า ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ แต่ด้วยความที่ติ๊กทำงานปราบปรามการฟอกเงิน รู้อยู่แล้วว่า ตำรวจต้องทำอะไรบ้าง งานของตำรวจต้องเป็นแบบนี้ ไม่เป็นเวลา แม่บ้านสาวเข้าใจการทำงานของสามี ยิ่งตอนเขาไปทำงานตามรอยแก๊งโจรสลัดปล้นเรือประมงที่ทะเลภาคใต้ หายไปประมาณ 2 สัปดาห์เต็มแทบติดต่อกันไม่ได้ เขาบอกล่วงหน้าแล้วว่า ไม่ต้องติดต่อมา เพราะออกทะเลอาจไม่สะดวก ติ๊กก็โอเคไม่ควรโทรไป ถ้าเขาสะดวกจะโทรมาเอง ทีนี้เขาโทรมาตอนตีสองกว่า น้ำเสียงเคร่งเครียด เหนื่อย เพราะเพิ่งนั่งทำข้อมูลกันเสร็จ ติ๊กก็ต้องตื่นมาคุยกับเขา ให้กำลังใจเขา

ฝ่ายหญิงรู้ตลอดว่าสามีเป็นคนจริงจังกับงาน และพร้อมรับฟังให้เขาระบายเสมอ เรียนรู้ใจกันบางครั้งผ่านนายตำรวจรุ่นพี่ที่ประสานงานกันก่อนหน้าเพื่อตรวจสอบประวัติ และยืนยันการันตีในความดีของฝ่ายชาย สุดท้ายลงเอยด้วยการรอดซุ้มกระบี่ลั่นระฆังวิวาห์หวานชื่น เมื่อคบหากันมานานประมาณ 6 ปี

คุณติ๊กให้เหตุผลว่า ตัดสินใจแต่งงาน เพราะคิดว่าถึงเวลาแล้ว อายุเราต่างมากแล้วด้วย ถ้าคิดจะมีลูกควรจะเตรียมพร้อมได้แล้ว ไม่ใช่ต่างคนต่างทำงาน โดยไม่ได้จูนเวลาอะไรกันนะ  ความที่เราก็ทำงาน แล้วงานเราก็เยอะ งานเรายุ่งเหมือนกัน ประกอบกับสไตล์เราเหมือนไม่ได้ต้องการการดูแลเยอะ หรือต้องการการดูแลเป็นพิเศษ คุณก็ทำงานของคุณไป ฉันก็ทำงานของฉันไป ถ้าเรามีเวลาว่าง เสาร์ -อาทิตย์ จะเป็นเวลาของเราสองคนเลย

ภรรยานายตำรวจหนุ่มมองว่า ช่วงเสาร์-อาทิตย์เราจะหาความสุขที่ง่ายมาก  แค่ออกไปหาของอร่อยๆ กิน อยู่บ้าน ดูหนัง อะไรอย่างนี้ ก็แฮปปี้แล้ว หรือถ้ามีอีเว้นท์ต้องไปต่างจังหวัดใกล้ๆ หรือไปต่างประเทศตามหน้างานที่รับผิดชอบ บางทีก็หอบเอาสามีกับลูกไปด้วย จะได้พักผ่อน ไปคลายเครียดกันตามประสาครอบครัว เนื่องจากพอเราเริ่มโต งานเริ่มเยอะขึ้น เสาร์-อาทิตย์ จะไม่มีแล้ว

ทั้งคู่ให้กำเนิดลูกสาววัยขวบเศษกำลังน่ารักอย่าง น้องเบลลินพิมพ์ณดา รัตนมงคลศักดิ์ เป็นพยานรักของพ่อแม่ ช่วง 3 เดือนแรก ฝ่ายชายจะทำหน้าที่พ่อดูแลเลี้ยงลูกเยอะมาก ทำไม่ได้อย่างเดียว คือ ให้นมจากเต้า เล่นเอาผู้เป็นแม่กังวลกลัวลูกติดพ่อจำหน้าแม่ไม่ได้ ระยะหลังเริ่มดีขึ้น หมั่นกันประคบประหงมกล่องดวงใจของคนทั้งสอง

ชีวิตคู่มันก็ต้องมีสเปซ อย่างบางทีช่วงที่เขาทำงานสืบ มีแค่ เสาร์อาทิตย์ ที่เป็นช่วงเวลาเราได้อยู่กับตัวเอง ได้อยู่กับกิจกรรมที่เราชอบ หรือว่าได้พักผ่อน อยู่กับลูก เลี้ยงลูกไป คือ ถ้าเขาอยู่ด้วย ก็โอเค ได้ทำกิจกรรมด้วยกัน แต่ถ้าเขาไม่อยู่ เราก็มีอีเว้นท์อื่นที่เราก็สามารถทำเองได้เหมือนกัน จะว่าไปแล้วติ๊กกับเขาไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเวลาเท่าไหร่ สะใภ้บ้านรัตนมงคลศักดิ์ว่า

  แต่งงานกันแล้ว ชีวิตคู่มันเปลี่ยนไปไหมหรือ พอเป็นครอบครัวก็เปลี่ยนไปนะ เหมือนกับว่า ตอนเป็นแฟนอยู่ในภาวะที่เป็นแฟน การคิดในลักษณะเป็นครอบครัวยังไม่ไปถึงขนาดนั้น ยังเป็นตัวของตัวเองอยู่ แค่เรามาแชร์สเปซ หรือพื้นที่ร่วมกัน พอเราเป็นครอบครัวจะไม่มีความเป็นของเธอ ของฉันแล้ว ทุกอย่างมันคือ ของเรา

คุณติ๊กขยายภาพอีกว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่คบกัน ส่วนใหญ่เป็นแบบนี้มาอยู่แล้ว ถึงไม่ค่อยมีการปรับอะไรกันมาก ชีวิตคู่ของตำรวจ สิ่งที่คิดว่า ทำให้เราประคองกันไปได้ คงต้องความเข้าใจ คนที่จะเป็นเมียตำรวจได้ คือ ต้องเข้าใจงานเขาก่อน โชคดีที่เราทำงานรู้จักกับตำรวจ รู้ว่า พวกเขาทำงานกันอย่างไร รู้ว่า เขาต้องมีปาร์ตี้ ไปสังสรรค์ เพราะเป็นการทำงานอย่างหนึ่ง

สำคัญสุด คือ ตั้งแต่คบกันมาเขาไม่เคยมีปัญหาเรื่องผู้หญิง  เนื่องจากช่วงที่คบกันแรกๆ   ติ๊กบอกเขาเลยว่า เป็นกฎที่จะคบกันนะ คือจะไปมีคนอื่นไม่ว่า จะไปมีกิ๊ก หรือจะอะไรยังไง  ขออย่างเดียว อย่าให้รู้ คือจะไปทำยังไงก็ได้ จะปิดบัง จะซ่อนเร้น อะไรยังไงก็ได้ อย่าให้ติ๊กรู้ ถ้าทำให้รู้ แสดงว่า ไม่ให้เกียรติกันแล้ว หลายคนอาจบอกว่า ติ๊กใจกว้างจัง จริง ๆ เราไม่ใช่คนที่แบบใฝ่ในเรื่องเช็กโทรศัพท์ หรือตามจิก ไม่เคยเปิดดูไลน์ว่าคุยกับใคร หรือเฟซบุ๊กนั่นนี่โน่น เรื่องแบบนี้ คือ ต้องให้เกียรติกัน เธอทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

 

RELATED ARTICLES