เช้าวันรุ่งขึ้น ที่กองปราบปราม สามยอด
ทั้งๆที่เป็นวันสุดท้ายของปีพุทธศักราช 2524 เป็นวันหยุดราชการ แต่ยังมีตำรวจหลายคนที่ต้องเข้าเวร เดินทางมาทำงาน บางคนที่ยังไม่ได้ทานอาหารมาจากบ้านก็จะมานั่งกินอาหารเช้าที่ร้านอาหารเล็กๆของเจ๊ติ๋ม เมียดาบตำรวจคนหนึ่ง และมีที่พักอยู่ในห้องแถวใต้กองกำกับการ 7 กองปราบปราม กองกำกับการที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบสืบสวนสอบสวนคดียาเสพติดทั่วประเทศ
ร้านเจ๊ติ๋มใช้ห้องพักของผัวแกเป็นทั้งที่หลับที่นอน และเปิดเป็นร้านขายอาหารไปในตัว มีขายทั้งก๋วยเตี๋ยวเนื้อก๋วยเตี๋ยวหมู ข้าวแกงธรรมดาๆ รวมทั้งอาหารตามสั่ง ดูแล้วเหมือนสโมสรกลายๆ เพราะเป็นสถานที่ฝากท้องตำรวจกองปราบฯ และประชาชนที่มีธุระปะปัง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อข้าวซื้อน้ำเยี่ยมผู้ต้องหา หรือมาแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์ โดยเจ๊ติ๋มจะปิดร้านในช่วงบ่ายแก่ๆ
อย่างไรก็ตาม จริงๆแล้ว บรรยากาศในวันนี้น่าจะอยู่ในความรื่นเริง แต่ตำรวจที่มานั่งกินอาหารเช้า ต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยกันถึงข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับจ่าสิบตำรวจมนัส พึ่งดี และสิบตำรวจเอกขรรค์ชัย อุ่นจิต ตำรวจกองกำกับการ 2 กองปราบปราม ที่ถูกโจรปล้นรถทัวร์ยิงเสียชีวิต และบาดเจ็บ เมื่อคืนที่ผ่านมา
มีหลายคนออกความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ว่า น่าจะเป็นฝีมือของโจรกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ ในเขตพื้นที่จังหวัดอ่างทอง หรือจังหวัดใกล้เคียง แต่ก็ยังไม่มีใครรู้จริง
“นายลอ น่าจะรู้นะ เพราะเคยเป็นผู้กองเมืองอ่างทองมาก่อน …”
สิบตำรวจเอกหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่นั่งฟังข่าวนี้จากเพื่อนๆและแม่ค้าในร้านที่อยู่ใต้ชั้นลอยที่ใช้เป็นห้องประชุม โพล่งออกมาบ้าง หลังเห็นรถเบนซ์ สีน้ำเงินของพันตำรวจเอกชลอ วิ่งเข้ามาหยุดนิ่งในช่องจอดรถส่วนตัวที่อยู่ใกล้ๆกับร้าน
“เออ…ใช่ นายลอ แกอยู่แถวนั้นมานาน น่าจะมีข้อมูลอยู่นะ”
ใครอีกคนที่นั่งอยู่กับสิบตำรวจหนุ่มคนนั้นพูดสนับสนุนด้วยความเชื่อมั่นในฝีมือของผู้บังคับบัญชาที่ได้ชื่อฉายาจากสื่อหนังสือพิมพ์ว่า เป็นอีก1ในมือปราบ
ขณะเดียวกัน สายตาของคนในร้านอาหารจับจ้องมองไปที่รถเบนซ์ สีน้ำเงินของชลอ
แต่คนที่ลงมาจากรถกลับไม่ใช่นายตำรวจมือปราบที่ทุกคนกำลังพูดถึง แต่เป็น จ่าอ๋อย-จ่าสิบตำรวจรุ่งแสง ทองแท่งใหญ่ ตำรวจแผนก 1 กองกำกับการ 1 กองปราบปราม ตำรวจหนุ่มหุ่นสมาร์ทท่าทางเพลย์บอยก้าวลงมาจากรถพร้อมกับไอ้เหน่แหล่งข่าวสายโจรคนสำคัญของชลอที่เดินตามลงมาจากฝั่งคนขับ
สำหรับไอ้เหน่ ตอนนี้คนในกองปราบฯเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตามากขึ้น เพราะมันติดสอยห้อยตามเข้ามาถึงที่ทำงานของเจ้านายตำรวจบ่อยครั้ง
ทั้งคู่เดินลิ่วๆตรงมาที่ร้าน พร้อมกับสายตาของตำรวจและแม่ค้าที่มองมาอย่างมีคำถาม
“ไหน..เจ๊ติ๋ม วันนี้มีอะไรกิน”
เสียงดังของจ่าอ๋อย แต่มีความร่าเริงแฝงอยู่ ทักเจ้าของร้านขายข้าวแกงอย่างคุ้นเคย
ชายหนุ่มมองไปที่กับข้าวหลายชนิดที่วางเรียงราย ก่อนเลือกข้าวราดแกงง่ายๆมา 1 จาน เหมือนกับ เหน่ สายโจรของชลอ
“รีบกินก่อน เดี๋ยวไม่รู้นายจะไปไหนอีก…”
จ่าอ๋อย ตำรวจติดตามชลอ พูดขึ้นมาลอยๆ แต่ก็มีตำรวจในนั้นถามต่อ
“แล้วนาย อยู่ไหนล่ะ อ๋อย”
“แกลงตรงทางเข้า เดินขึ้นไปหาผู้การที่ห้องทำงาน คงจะประชุมด่วนเรื่องตำรวจเราถูกยิงเมื่อคืน เห็นแกพูดตอนอยู่บนรถ ให้ผมรีบขับเข้ามา เหยียบแทบจะชนคนอื่น”
จ่าอ๋อยตอบ พร้อมกับตักข้าวใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ จากนั้นพูดคุยกับเพื่อนในหน่วยงานเดียวกันถึงเรื่องที่ตำรวจกองปราบพลาดท่าถูกยิงเสียชีวิตและบาดเจ็บในครั้งนี้
———————————————————-
ขณะเดียวกัน ในห้องทำงานพลตำรวจตรีกุศล นาคศรีชุ่ม ผู้บังคับการกองปราบปราม มีนายตำรวจหลายคนนั่งอยู่ด้วยท่าทีที่เคร่งเครียด 1 ในนั้น มีพันตำรวจเอกชลอ รวมอยู่ด้วย
“ตอนนี้ ศพจ่ามนัส อยู่ที่นิติเวช ญาติๆกำลังรอรับศพ ตรงนี้ณรงค์วิช คุณทำเรื่องดูแลเรื่องสวัสดิการ เงินฌาปนกิจศพ และดูแลให้สมเกียรติด้วย ติดขัดอะไรบอกผม”
พลตำรวจตรีกุศล สั่งงานไปยังพันตำรวจเอกณรงค์วิช ไทยทอง ผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของจ่าสิบตำรวจมนัส ผู้วายชนม์ ก่อนหันมาทางพันตำรวจเอกชลอ รองผู้บังคับการกองปราบปราม ที่นั่งอยู่อีกข้าง
“ ส่วนเรื่องคนร้าย ชลอ คุณอยู่แถวนั้นมาก่อน ไปไหนมาไหนตรงนั้น คงทะลุปรุโปร่ง คุณรับหน้าที่สืบสวนคดีนี้ไปเลยนะ เอาตัวมาให้ได้ เพราะรองณรงค์ สั่งการมาเมื่อเช้าให้เร่งรัดจับกุมคนร้าย สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนโดยเร็ว”
เสียงนุ่มๆ เจ้าของรหัส ป.1 ทิ้งช่วงเล็กน้อยก่อนสั่งการกับชลอต่อ
“อ้อ…. สำหรับ สิบตำรวจเอกขรรค์ชัย ถูกเอาตัวมารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว กระสุนไม่ถูกอวัยวะสำคัญ คุณลองไปคุยกับมันดู เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เผื่อจะได้ประโยชน์อะไรเกี่ยวกับข้อมูลของคนร้ายบ้าง”
“ได้ครับพี่ ”
ชลอตอบสั้นๆ พร้อมกับสบตาพลตำรวจตรีกุศล
จากแววตาของผู้บังคับบัญชาที่เขาเห็น ถึงแม้ผู้การกุศล จะเป็นคนนุ่มๆดูเรียบร้อยๆ แต่ในภาวะผู้นำหน่วย ที่ลูกน้องถูกโจรยิงตาย เขาเชื่อว่า ใต้ดวงตาที่ข่มความรู้สึกไว้นั้น มีคำสั่งอนุมัติให้เขาดำเนินการอะไรบางอย่างด้วย
การประชุมสั่งการในห้องผู้บังคับการกองปราบปรามดำเนินไปอย่างเคร่งเครียดอีกระยะก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมาย
ส่วนชลอ ให้ตำรวจหน้าห้องผู้การกุศล วิ่งไปตามผู้กองคก-ร้อยตำรวจเอกเจตนากร นภีตะภัฎ ที่รอเขาอยู่ในห้องทำงานให้มาพบเขา และบอกให้ลูกน้องที่เหลือไม่ว่าจะเป็น รองแป๋ง-พันตำรวจโทอัมรินทร์ เนียมสกุล รองผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม หมวดทองดำ จ่าจิ๋ว จ่าตั๋น จ่ายะ รอกันอยู่ที่ห้อง ก่อนที่จะเดินทางไปที่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อพูดคุยกับสิบตำรวจเอกขรรค์ชัย ที่รอดตายหวุดหวิดจากการถูกโจรปล้นรถทัวร์ยิง
อีก 1 ชั่วโมงต่อมา ชลอ ผู้กองคก จ่าอ๋อย และไอ้เหน่ ก็ไปอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ อีก 1ในสถานที่ที่แสดงให้เห็นความมีวิสัยทัศน์ก้าวไกลของพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจที่ให้จัดตั้งโรงพยาบาลตำรวจในพื้นที่ของกรมตำรวจ ถนนพระราม1 เมื่อพุทธศักราช 2495 มีอาคารชาติตระการโกศล เปิดใช้เป็นอาคารหลังแรก ต่อมาได้รับความนิยมจากข้าราชการตำรวจรวมทั้งประชาชนทั่วไปที่เข้ามารับการรักษา จนมีการสร้างอาคารขึ้นอีกหลายอาคารตามลำดับ
รองผู้บังคับการกองปราบ เปิดประตูเข้าไปภายในห้องที่ สิบตำรวจเอกขรรค์ชัย นอนพักรักษาตัว ภาพแรกที่เขาเห็น คือ ชายหนุ่มร่างใหญ่ผิวขาว ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาในชุดผู้ป่วยสีฟ้า กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้ มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง ที่โต๊ะข้างเตียงผู้ป่วยมีแจกันดอกไม้ของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของกรมตำรวจ 2 -3 ใบที่ถูกส่งมาแสดงความห่วงใยวางอยู่ 1 ในนั้น เป็นของพลตำรวจตรีกุศลเจ้านายโดยตรง นอกจากนี้มีหญิงสาววัย20 ปีเศษ นั่งอยู่ข้างๆคนเจ็บจากลักษณะการดูแล บ่งบอกน่าจะเป็นแฟนสาว
ทันทีที่คนป่วยมองเห็นอาคันตุกะที่เปิดประตูเข้ามา สิบตำรวจเอกขรรค์ชัย รีบพยุงตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมยกมือไหว้ผู้บังคับบัญชา
“เฮ้ย…ไอ้ขัน มึงไม่ต้องลุก ทำตัวสบายๆเดี๋ยวจะเจ็บแผล”
ชลอเอ่ยปากทัก หลังยกมือรับไหว้ลูกน้อง
“ไหน…มึงโดนเข้าตรงไหน”
“เข้าที่ชายโครงครับนาย นัดเดียว ดีกระสุนไม่ถูกอวัยวะสำคัญภายใน ไม่งั้นแย่เหมือนพี่มนัส”
ตำรวจหนุ่มคนเจ็บทำหน้าเศร้าพร้อมกับเปิดเสื้อชี้บาดแผลให้รองผู้บังคับการกองปราบ ผู้บังคับบัญชาดู
“ไอ้ห่า…. แค่นี้จิ๊บจ๊อย กูโดนยิงพุงทะลุมาแล้ว สมัยเป็นผู้กองเมืองมวกเหล็ก สระบุรี”
ไม่พูดเปล่า ชลอยังเลิกเสื้อซาฟารีสีน้ำเงินเข้มให้เห็นรอยแผลเป็นที่หน้าท้อง พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่เขาถูก เสือดำ 1 ในแก๊งโจรปล้นควาย ใช้คาร์บินยิงเกือบตายเมื่อปีพุทธศักราช 2516
แต่ไอ้เสือดำ ถูกเขาตามล่าเอาคืนได้ในอีก 1 ปีต่อมา หลังจากตามรอยไปจนเจอที่บ้านเมียมันในเขตพื้นที่บ้านดงลาน อำเภอพัฒนานิคม ช่วงที่เขามาเป็นรองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี เกิดการปะทะกันอีกครั้ง คราวนี้ เสือดำ เป็นฝ่ายพลาดจบชีวิตคาบ้าน ขณะมันวกกลับไปดูเมียที่ท้องแก่ใกล้คลอด
สิบตำรวจเอกขรรค์ชัยยิ้มแหยๆ หลังฟังเรื่องจบ ขณะที่ผู้กองคก และจ่าอ๋อย ถึงกับอึ้งปนทึ่ง เพราะไม่เคยรู้เรื่องประสบการณ์เฉียดตายของชลอมาก่อน
“เอ้า…..มึงเล่าให้กูฟังหน่อย วันนั้นมันเป็นยังไง มึงจำอะไรได้บ้าง โดยเฉพาะตำหนิรูปพรรณคนร้าย”
รองผู้การผู้กว้างขวางแห่งยุคเริ่มขั้นตอนการซักถามพยาน ขณะที่ผู้กองคก หยิบปากกาและไดอารี่เล่มขนาดพ็อกเกตบุ๊ก เตรียมจดบันทึกข้อความสำคัญ
“วันนั้น ผมกับพี่มนัส นั่งรถทัวร์กลับจากสุพรรณบุรี จะมาเข้าเวรกองกำกับการที่กรุงเทพฯ ก็แต่งตัวนอกเครื่องแบบ และไปนั่งกันอยู่ตอนกลางของรถด้านซ้าย ผมนั่งอยู่ริมหน้าต่าง พี่นัสนั่งด้านนอก แต่ขณะหลับๆตื่นๆ ผมตกใจเมื่อได้ยินเสียงปืนดังปังๆ เห็นอีกทีพี่มนัสถูกยิงร่วงลงไปกับพื้น ผมพยายามลุกเข้าไปช่วย เลยถูกมันยิงสวนเข้ามาอีกนัดจนล้มฟุบ”
สิบตำรวจเอกขรรค์ชัยพยายามลำดับเรื่องราว
“ รู้สึกตัวอีกที ตอนที่เขากำลังช่วยผมไปขึ้นรถพยาบาล ถึงรู้จากผู้โดยสารบนรถทัวร์ว่า มันเอาปืนผมกับปืนของพี่มนัสไปด้วย”
“ปืนมึงกับปืนไอ้นัสปืนอะไรวะ” ชลอซักต่อ
“ผมใช้ปืนโคลท์ .38 ส่วนของพี่มนัส ผมไม่รู้ครับ…”ตำรวจหนุ่มที่เฉียดตายจากฝีมือโจรบอก
“คนร้ายมีกี่คน จำได้ไหม ตำหนิรูปพรรณเป็นไง”
พันตำรวจเอกหนุ่มนักบู๊ถามต่อในประเด็นสำคัญ
“ช่วงชุลมุน ผมเห็นแค่ 2 คนครับ แต่ได้ยินว่า หลังจากมันยิงผมและพี่นัส แล้ว มันปลดทรัพย์สินผู้โดยสาร ก่อนสั่งคนขับจอดรถให้มันลงไปขึ้นรถกระบะอีกคันที่ขับตามมาหนีไป”
“มึงมันไม่ได้เรื่อง จำอะไรไม่ได้เลย”
ชลอพูดเชิงตำหนิ
“แต่นายครับ ไอ้ 1 ใน 2 คนร้าย ถึงผมจะหลับๆตื่นๆ แต่ยังจำหน้าตาคนที่มันยิงผมได้ดี เห็นอีกกี่ทีก็จำได้ครับ ไอ้นี่มันรูปร่างผอม สูง หน้าเสี้ยม คางยื่น ไว้ผมรองทรงอายุประมาณ 30 ปีเศษ ”
ชลอขมวดคิ้วนึกภาพตาม ใจก็เริ่มคิดอย่างมีความหวัง ขณะที่ผู้กองคก จดรายละเอียดจากปากคำคนเจ็บ ผู้เสียหายที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไว้ในไดอารี่ของเขาเป็นข้อมูลในการสืบสวน ส่วนจ่าอ๋อย และไอ้เหน่ ก็เก็บข้อมูลไว้ในสมอง
“ขอให้ความจำมึงจำแม่นๆนะไอ้ขัน ถ้าเป็นอย่างที่มึงว่า เดี๋ยวกูก็ได้ตัวมัน เอ้านี่เงินไว้ใช้ สงสัยอะไรกูจะกลับมาใหม่ หมดทุกข์หมดโศกปีเก่า โชคดีปีใหม่โว้ย”
รองผู้บังคับการมือปราบกล่าวอำลา พร้อมกับควักเงินออกจากกระเป๋า 5,000 บาทให้ลูกน้องที่โดนยิงนอนอยู่บนเตียงเป็นการบำรุงขวัญ ก่อนที่ชลอจะนำลูกน้องเดินทางกลับออกไป
สำหรับชลอ เขาไม่คิดว่าคดีนี้จะยากเย็นตรงไหน เขามีความรู้สึกว่า ช่วงนี้ จะทำอะไร จะคดีไหน ก็ประสบความสำเร็จไปหมด และคดีนี้ก็เช่นกัน เขาเชื่ออย่างนั้นพร้อมๆกับความคิดเก่าๆเมื่อปี 17 ได้หวนกลับมาอีกครั้ง
“ฆ่าตำรวจ เอาไว้ไม่ได้”