“ผมเป็นคนที่ว่า มือที่ให้ ต้องอยู่สูงกว่ามือที่ขอ ถือหลัก คนหยอดเหรียญเป็นคนเลือกชื่อเพลง”

ผู้ทรงอิทธิพลในวงการหนังสือพิมพ์ที่นักการเมือง นักธุรกิจ ไปจนถึงข้าราชการระดับสูง อีกทั้งนักเลง มาเฟียยังต้องเกรงบารมี

เผด็จ ภูรีปติภาณ คอลัมนิสต์อาวุโสเจ้าของนามปากกา “พญาไม้” ของหนังสือพิมพ์ข่าวสด และผู้บริหารหนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ ในวัยเฉียด 70 ปี แต่ยังมากมิตรสหาย ร่างเต็มไปด้วยวิญญาณคนข่าวที่ตัวเองคร่ำหวอดมานานเกินกว่าค่อนชีวิต

ลูกชาย พ.ท.เฉลียว ภูรีปติภาณ อดีตนายพลทหารกองบัญชาการสูงสุด เกิดโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เติบโตในค่ายทหาร ท่ามกลางความหวังของบิดาที่อยากให้เดินตามรอยเท้า แต่ตัวเขาปฏิเสธแบบเด็กหัวรั้น ยอมลงสนามสอบเอาใจผู้พ่อ แต่ไม่สมหวัง เขาบอกว่า ไม่อยากเป็นทหาร เพราะแต่ละปีถึงช่วงแต่งตั้งโยกย้าย พ่อจะคาดหวังไว้สูง พอคำสั่งออกมาไม่ได้ก็เสียใจ บรรยากาศในบ้านก็มีแต่ความผิดหวัง เห็นบรรยากาศว่า การรับราชการต้องขอความกรุณา มีการประจบประแจงกัน เป็นเรื่องของชีวิตที่ไม่อิสระ ไม่สามารถเป็นอย่างที่เรานึกเราฝันได้

สุดท้ายลูกชายนายทหารเลือกใช้ชีวิตตามความคิดอิสระของตัวเอง ไปเรียนวิชาการโรงแรมเข้าทำงานโรงแรมราชาอยู่ได้แค่ 2 วันก็ลาออก เพราะเป็นคนไม่ชอบอยู่ในโอกาสใคร ไม่รับฟังใคร ตอนหลังหันเข้าช่างกลปทุมวัน เรียนพักเดียวก็มีเรื่องเกเรเกตุงยกพวกตีกันอีกจนบิดาทนไม่ไหวฝากมานะ แพร่พันธุ์ ให้ไปทำงานหนังสือพิมพ์สังกัด “พิมพ์ไทย” ทั้งที่ไม่มีความรู้อะไรเลย

ทว่ากลายเป็นจุดเริ่มต้นสู่เส้นทางนักหนังสือพิมพ์ที่ยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา เจ้าตัวเล่าว่า ไปโรงพิมพ์ครั้งแรก พ่อขอไม่ให้ส่งไปทำข่าวอาชญากรรม เพราะกลัวพฤติกรรมเกเรของเราเลยไปทำข่าวการเมืองแทน อาศัยคุ้นเคยคนในแวดวงทหารที่ยุคนั้นครองอำนาจทางการเมืองเต็มตัวมีส่วนทำให้ได้แหล่งข่าวคลุกคลีสนิทสนมก่อนประจำรัฐสภา เจอพวกผู้มีอำนาจ มีอิทธิพลทั้งหลายแหล่ รู้จักกันเยอะ

เขาบอกว่า นักข่าวเป็นอาชีพอิสระ ไม่มีเจ้านายมานั่งบีบคั้นต้องมาตอกบัตร ตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้และตามมานะ แพร่พันธุ์ไปตลอด ตั้งแต่พิมพ์ไทยย้ายไปบ้านเมืองขยับตำแหน่งเป็นหัวหน้าข่าวการเมืองอายุน้อยมาก สมัยก่อนเป็นยุคเผด็จการ ข่าววิทยุกับข่าวทีวีไม่มีสิทธิมีเสียงจะวิจารณ์อะไร มีแต่หนังสือพิมพ์ที่มีอำนาจสูงสุดในการวิจารณ์อะไรก็ได้ ทำให้เรารู้สึกว่าสามารถที่จะกร่างได้ก็เลยคิดว่า เหมาะกับเรื่องราวตรงนี้ ได้รู้จักพรรคพวกเป็นนักข่าวอาชญากรรม เสร็จงานก็มาเที่ยวกัน รู้จักกันหมด ถึงเวลามีงานเราก็ไปทั่วไปหมด งานคนโน้นคนนี้ ตอนนั้นสังคมแคบ คนมีชื่อเสียงมีไม่มาก สังคมไม่กว้าง

“ไม่นานก็รู้จักกันหมดแล้ว อย่างคนนี้ขาใหญ่มาจากเพชรบุรี ผู้กว้างขวางจากปากน้ำก็รู้จักกับผมหมด ด้วยความที่เราเป็นสื่อด้วยก่อนเข้ากันได้ดี ไอ้เราก็เด็กๆ ตอนนั้นมันมีซุ้มเยอะ ได้มาเป็นแหล่งข่าวได้ข้อมูลจากคนพวกนี้ถือเป็นคนมีอิทธิพลด้านข้อมูลเชิงลึกเอามาวิเคราะห์การเมืองได้ รู้ความเป็นไปของบ้านเมืองล่วงหน้า มันก็ได้ประโยชน์ ข่าวของเราที่ได้มาพูดง่ายๆ ว่า เป็นข่าวที่ลึก ตอนนั้นนักข่าวก็มีน้อยด้วย ในโรงพิมพ์ผมเลยเป็นคนมีหน้าตาในกองบรรณาธิการ” คนข่าวอาวุโสละเมียดความหลัง

กระทั่งเหตุการณ์วันมหาวิปโยคเดือนตุลา เป็นการแจ้งเกิดบทความ “ผู้รับใช้ประชาชน” กับนามปากกา  “พญาไม้” ในวัยเพียง 20 เศษ อาศัยความที่เป็นลูกทหารกล้าเขียนเข้าข้างกองทัพแนวนักหนังสือพิมพ์ขวาจัดฉีกจากหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ทำให้เกิดความโดดเด่น ชนิด ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แห่งหนังสือพิมพ์สยามรัฐยังเอาไปอ่าน “มังกรห้าเล็บ” ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐยังเอาไปเขียนถึงกลายเป็นที่ฮือฮา

ที่มาของพญาไม้ เขาเผยปูมหลังว่า เกิดจากที่เป็นคนชอบเที่ยวเตร่ไปเจอซอยพญาไม้ พอได้รับมอบจากมานะ แพร่พันธุ์ ให้เขียนคอลัมน์ ไม่รู้จะใช้นามปากกาอะไร เห็นชื่อซอยนี้รู้สึกเพราะดี แถมมีความหมายเห็นความแตกต่างระหว่างพญา ที่ดูมันยิ่งใหญ่ แต่ไม้รู้สึกว่าเล็กนิดเดียว ถึงเลือกพญาไม้ และใช้มาตลอดจากวันนั้นถึงวันนี้ร่วม 50 ปีแล้ว

ยึดหน้าหนังสือพิมพ์จิกกัดนักการเมืองสารพัด เมื่อ สมัคร สุนทรเวช ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่พอใจเลยใช้อำนาจบีบต้นสังกัดให้ถอดคอลัมน์ออก เผด็จจำใจต้องทำตามคำขอร้องของมานะ แพร์พันธุ์ นักข่าวรุ่นพี่ผู้มีพระคุณ เป็นจังหวะเดียวกับ “กระแช่” ประสาน มีเฟื่องศาสตร์ แห่งหนังสือพิมพ์ดาวสยามส่งชูพงศ์ มณีน้อย มาทาบทามเข้าสังกัด

“พอไปอยู่ ผมก็กลัวว่า เดี๋ยวคงอยู่ไม่ได้นาน มีปัญหาแน่ แต่ไหนๆ ชูพงศ์มาชวน ผมก็ไป บอกเอาอย่างนี้ ถ้าทะเลาะต้องออก มึงต้องออกด้วยนะ ใครคนหนึ่งอยู่ คนหนึ่งไปไม่เอา ทำสัญญาลูกผู้ชายว่า ให้เป็นไปตามนี้ ปรากฏว่า ชูพงศ์ดันทะเลาะกับกระแช่ก่อน ผมก็ต้องออกตาม เพราะดันไปตกลงกันไว้ เพราะตัวผมแท้ๆ”

ออกมาเก้ ๆ กัง ๆ พักหนึ่ง เห็นนักข่าวรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างขรรค์ชัย บุนปาน ทิ้งสยามรัฐมาเปิดหนังสือพิมพ์มติชนเอง เขาตัดสินใจเปิดหัวใหม่กำเนิดหนังสือพิมพ์แนวหน้าที่หลุดมาจากแนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ มุ่งเน้นข่าวการเมืองเป็นหลัก แต่ด้วยความที่ต้นทุนสูงสายป่านน้อย โฆษณาไม่เข้า เขาเลยทำแนวหน้าหลุดมือ ผันไปจับหนังสือพิมพ์ข่าวสดยุคที่อยู่ย่านสีลม ทว่าไม่วายเจอปัญหาเดิมเรื่องของทุน ประกอบตัวเองขยันไม่พอในการไปนั่งขอโฆษณา รอใครนานไม่ได้ ที่สุดก็ต้องปล่อยข่าวสดให้เพื่อนรักขรรค์ชัยไป

เคว้งคว้างไม่ได้ทำอะไรนอกจากเขียนหนังสือส่งบทความให้หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นประทังปากท้อง เผด็จบอกว่า ตอนหลังมีรุ่นน้องชวนให้เป็นหัวเรือหนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ เราก็ตกลง แต่มีข้อแม้ว่า  อย่าให้เซ็นเช็ค และอย่าให้ไปหาโฆษณาจนประคองตัวได้ถึงปัจจุบัน เพราะเราอยู่วงการมานาน เรามีช่องทาง “ส่วนที่มีคนเกรงใจ และนับถือก็เพราะผมเป็นคนที่ว่า มือที่ให้ ต้องอยู่สูงกว่ามือที่ขอ ถือหลัก คนหยอดเหรียญเป็นคนเลือกชื่อเพลง ผมรู้จักคนเยอะ เขาติดขัดอะไร ผมก็แก้ไขให้เขา ไกล่เกลี่ยปัญญาความขัดแย้ง”

คอลัมนิสต์ชื่อดังยกตัวอย่างมนตรี พงษ์พานิช อดีตนักการเมืองใหญ่ผู้ล่วงลับตอนตกต่ำเดือดร้อนยังมาชวนกินเหล้าระบายความอึดอัด “ผมปลอบว่า พระอาทิตย์มันมีวันตกดิน อย่าไปเครียด เพราะฉะนั้นไม่มีใครใหญ่ตลอด โดยเฉพาะคนที่ใหญ่ไม่เป็น ไม่ต้องห่วง เขาอยู่ไม่ได้นานหรอก ที่สุดคนที่ใหญ่กว่ามนตรีก็หล่น มนตรีก็กลับมาใหญ่ เราต้องมองไปล่วงหน้า จริงเท็จไม่รู้ต้องปลอบให้สบายใจไปก่อน ไม่มีใครอยากได้ยินคำปฏิเสธ ผมรับปากไป ช่วยได้หรือไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็สบายใจขึ้นมานิดหนึ่งคนเดือดร้อนมาถ้ามาหาแล้วไปไล่เขาเหมือนหมา มันก็เท่ากับไปเพิ่มเติมความเจ็บปวดให้เขา”

ยิ่งนานวันยิ่งสั่งสมบารมีแก่นักหนังสือพิมพ์ใจใหญ่ผู้นี้เป็นทีเกรงอกเกรงใจแก่คนหลายวงการโดยเฉพาะนักการเมืองที่ทำเขารู้ตื้นลึกหนาบางของบุคคลเหล่านี้ พญาไม้มองว่า การเมืองแทรกเข้ามาอยู่ในทุกอณูชีวิตคนไทย เมื่อการเมืองกลายเป็นทุกๆ อย่างก็จะมีการวิ่งหาการเมืองเพื่อหาอำนาจที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์แอบแฝง ดังนั้นประเทศเราจะทำการเมืองให้ดีไม่ได้ ถ้าไม่เอาผลประโยชน์ออกจากการเมือง การเมืองที่ดี คือ การเมืองที่ไม่มีผลประโยชน์ต่อตัวบุคคล หรือหมู่คณะ การเมือง คือ การประเทศ แต่ในบ้านเรามันไม่ใช่

ในฐานะที่เป็นสื่อ เขาแสดงความเห็นว่า ต้องเสนอความจริง บอกคนที่มีอำนาจว่าจะต้องทำอย่างไร ถึงกระนั้นระบบขับเคลื่อนเมืองไทยยังไม่เพียงพอที่จะผลักสิ่งที่ยังกดทับอยู่ ไม่ว่าจะเป็นธรรมเนียมประเพณี ความถูกต้องมักถูกมองเป็นเรื่องรอง ขณะที่พรรคพวกเป็นเรื่องใหญ่สำคัญกว่า เรื่องราวเหล่านี้ต้องเป็นเรื่องของความเป็นชาติ อยู่ในวัฒนธรรม อยู่ในความรู้สึกนึกคิด

นักหนังสือพิมพ์แห่งตำนานชี้ว่า ตั้งแต่ปี 2512 ชื่อของชวน หลีกภัย ปรากฏในแวดวงการเมืองครั้งแรก บรรหาร ศิลปะอาชา เข้าวงการมาเมื่อปี 2518 ปัจจุบันทั้งคู่ก็วนเวียนอยู่ ถ้าเป็นประเทศที่พัฒนาในโลกไม่มีแบบนี้ บ้านเรามันซ้ำซากจำเจ หลายอย่างเป็นกันจนตาย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เคยจะให้เกษียณ 60 ก็ไม่ยอม ฝ่ายตุลาการทุกวันนี้เกษียณ 70 ปี เมื่อไม่มีการถ่ายเท ไม่มีการขับเคลื่อน ความแปลกใหม่ ก็เข้ามาไม่ถึง

อยู่ในวงการมาเกือบ 50 ปี เผด็จรับว่า คุยกับนักการเมืองได้เกือบทั้งหมด แทบไม่มีใครที่คุยไม่ได้ ยกเว้นคนที่มาอยู่บนเส้นทางแบบไม่ปกติ ไม่เคยเจอกัน เราก็ไม่เจอ เพราะไม่มีโอกาส แต่ถ้ามาจากในสายที่เป็นเผด็จการทหาร สายนักการเมืองจะรู้จักกันหมด บางคนเราเห็นตั้งแต่ยังไม่มีอะไร เห็นตั้งแต่เริ่มเล่นการเมืองก็รู้ว่า ใครเป็นยังไง เปรียบเหมือนดูละครเรื่องเดียวซ้ำซาก 50 ปี เห็นคนๆ หนึ่ง ตลอดชีวิตของเขา ถึงขนาดรู้ว่าเขาชอบอะไร กินอะไร ไม่ชอบอะไร เวลาเกิดเรื่องอะไรเราก็เอาบุคลิกของเขามาวิเคราะห์พยากรณ์การเมืองได้ดีกว่าใคร อย่างเวลาจะจัดคณะรัฐมนตรีต้องแบบไหม ทุกครั้งแทบจะไม่พลาด

“โอกาสใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีมันจะมีกี่คน” คอลัมนิสต์อาวุโสวาดคมคิด “อย่างนายกฯปู ถามว่าเหมาะไหม ผมบอกได้เลยว่า ไม่เหมาะกับการเมืองแบบนี้ เพราะมันเป็นการเมืองของคนแก่ คนแก่มากๆ มาเป็นใหญ่ มันรับปัญหาไม่อยู่ หรืออย่างสมัยหนึ่งผมคุยกับอภิสิทธิ์ เจอกันก็บอกว่า คุณอภิสิทธิ์ อย่าเพิ่งขึ้นมาเลย รับมือไม่อยู่หรอก เพราะนักการเมืองอายุ 60 -80 ปีก็ยังอยู่ นักหนังสือพิมพ์อายุมากก็ด้วย แล้วคุณอายุ 40 กว่าจะให้เขาศรัทธา เชื่อถือคุณ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณขึ้นมาจะไม่ไหวนะ คนแก่จะรบกัน แต่คุณมายืนตรงกลาง ผมก็เคยเตือนเขาไป”

เจ้าตัวย้ำว่า กรณีของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตอนแรกมาดี ตอนนี้เหนื่อย เพราะบ้านเมืองเป็นของคนแก่ ยุคคนแก่ที่ยาวนานมาก ไม่ยอมเกษียณกัน ได้ยินชื่อจำลอง ศรีเมือง ครั้งแรกปี 2519 ทุกวันนี้ก็ยังได้ยินชื่ออยู่ ความจริงต้องเลิกรากันไปหมดแล้ว เมื่อไม่เลิก รุ่นเด็กจะเข้าถึงได้ยังไง มันก็ไม่โต เมื่อท้องฟ้าไม่เปิด แดดไม่ถึงพื้น เม็ดก็ไม่งอก บ้านเรามันมีหลังคาคุมโดยกลุ่มคนที่อายุมาก ตั้งแต่ปี 2512 ถึงปี 2557 กว่า 40 ปี เกือบ 50 ปี ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากการทะเลาะเบาะแว้ง การโจมตีกันเรื่องคอร์รัปชั่น อย่างเดียว การแตกแยกแล้วรวมตัวของคนชุดเดียวกัน ตัวหลักๆ มีแค่ไม่กี่คน

“ถึงวันนี้ถ้าจะถามว่าอยู่กับการเมืองมา 50 ปี ให้ทายการเมืองปัจจุบันถูกไหม บอกได้เลยว่าทายไม่ถูก แต่ตั้งแต่มีการเมืองมา ครั้งนี้เป็นการเมืองที่พลิกผัน หวาดเสียว ล่อแหลมที่สุด ทายไม่ได้เลยว่าจะมีจุดจบอย่างไร มันมีตัวแปรเยอะแยะไปหมด” เจ้าของนามปากกาพญาไม้ที่หลายคนเกรงในบารมีส่ายหัวชำแหละความเป็นไปของบ้านเมือง

 

 

RELATED ARTICLES